โลกเสียงแตก สหรัฐฯ จำกัดวีซ่าเจ้าหน้าที่ไทยกรณี "อุยกูร์" แต่ตัวเองกลับขับไล่ผู้อพยพ-ผู้คนหนีภัยสงคราม

ประชาชนทั่วโลกเสียงแตก โดนัลด์ ทรัมป์ สั่งจำกัดวีซ่าเจ้าหน้าที่ไทยกรณีอุยกูร์ แต่สหรัฐฯ กลับขับไล่ผู้อพยพครั้งใหญ่ รวมชาวยูเครนหนีสงคราม ชี้ “หน้าซื่อใจคด” และ “ว่าแต่เขาอิเหนาทำเอง”
สำนักข่าว Reuters รายงานว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ มาร์โค รูบิโอ ประกาศนโยบายข้อจำกัดเกี่ยวกับวีซ่าใหม่ต่อเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทย กรณีอุยกูร์

สรุปข่าว
ทั้งนี้ ความเห็นของประชาชนทั่วโลกในสังคมออนไลน์ที่แสดงต่อข่าวนี้ อาทิ ใน Facebook ของสำนักข่าว Reuters กลับสวนทางกับความพยายามธำรงไว้ซึ่งสิทธิมนุษยชนของสหรัฐฯ
“หน้าไว้หลังหลอก” และ “หน้าซื่อใจคด” คอมเมนต์หนึ่งส่วนหนึ่ง ระบุ
“ว่าแต่เขาอิเหนาทำเอง” อีกคอมเมนต์หนึ่งระบุ
“สหรัฐฯ ลงโทษประเทศต่อเนรเทศ ในขณะที่สหรัฐฯ ก็เนรเทศผู้อพยพเช่นกัน” คอมเมนต์หนึ่งที่ได้รับการกดไลค์จำนวนมาก ระบุ
แม้บริบทจะต่างกัน แต่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังขับไล่ผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายครั้งใหญ่ รวมถึงการขับไล่ผู้อพยพเข้าเมืองที่ “ถูกกฎหมาย” ตามนโยบายของไบเดน
ด้วยการยกเลิกสถานะ "การอนุญาตอพยพเข้าเมืองอย่างมีเงื่อนไข" ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้อพยพกว่า 1.8 ล้านคนถูกส่งกลับประเทศ รวมถึงชาวยูเครน 240,000 คนที่หนีสงครามกับรัสเซีย
นี่เป็นสิ่งที่โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งพิเศษ ทันทีหลังขึ้นดำรงตำแหน่ง
สำหรับ สถานะดังกล่าว เป็นสถานะทางมนุษยธรรมที่เริ่มโครงการในสมัยรัฐบาลโจ ไบเดน
นั่นหมายความว่าจะมีบุคคลต่างชาติมากถึง 1.8 ล้านคนในโครงการ ที่จะถูกส่งตัวกลับประเทศ รวมถึงผู้อพยพเข้าเมือง ราว 1 ล้านคน ที่ลงทะเบียนเข้ารับการคัดกรองอพยพเข้าสหรัฐฯ บริเวณพรมแดน ผ่านแอปพลิเคชัน CBP One
ชาวคิวบา นิการากัว และชาวเฮติ รวม 530,000 คน ชาวยูเครน ที่หนีสงครามกับรัสเซีย กว่า 240,000 คน และชาวอัฟกานิสถาน 70,000 คน ที่อพยพเข้ามาสหรัฐฯ หลังกลุ่มตาลีบันยึดครองประเทศได้สำเร็จ
เมื่อไม่นานมานี้ รอยเตอร์ รายงานว่า การยกเลิกสถานะและส่งตัวชาวยูเครนกลับประเทศ อาจเกิดขึ้นเร็วสุดในเดือนเมษายน
อย่างไรก็ดี ทางทำเนียบขาวชี้แจงกับรอยเตอร์ว่า ยังไม่มีการตัดสินใจใด ๆ ในเรื่องนี้ แม้ทรัมป์จะลงนามคำสั่งพิเศษยกเลิกโครงการดังกล่าวไปแล้วก็ตาม
สหรัฐฯ ว่าเขา ตัวเองก็ทำ?
ภายหลังไทยได้ส่งตัวชาวอุยกูร์ให้จีน TNN ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ รศ.ดร. สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง ถึงเรื่องนี้
"การตัดสินใจของรัฐบาลไทย ที่ส่งชาวอุยกูร์ 42 คนกลับประเทศจีนต้องคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน เพราะชาวอุยกูร์อยู่ในสถานะผู้ลี้ภัย ไม่ใช่นักโทษ แต่หากฟังตามที่รัฐบาลแถลง ทางการจีนรับปากและมีหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรให้คำมั่นว่า ทุกคนจะปลอดภัย จึงเชื่อว่ารัฐบาลไทยคิดมาอย่างรอบคอบแล้ว จากนี้ไม่ว่าตัดสินใจอย่างไร ก็ต้องเตรียมรับผลกระทบที่ตามมา" เขากล่าว
"ส่วนแรงกดดันทางการค้า-เศรษฐกิจกับสหรัฐ ถึงไม่มีประเด็นนี้แต่สหรัฐเตรียมดำเนินมาตรการกดดันทางการค้ากับประเทศต่าง ๆ ที่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐอยู่แล้ว ไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น เพียงแต่มีความเป็นไปได้ ที่เขาอาจหยิบยกเรื่องนี้มาเป็นข้อกดดันทางการเมืองเพิ่มเติม "
"วันนี้แม้อเมริกาที่บอกว่าเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ หลักสิทธิมนุษยชน ประณามไทยอย่างรุนแรง แต่ตัวเขาเองกลับกำลังละเมิดอยู่ ภายใต้การนำของทรัมป์ เดี๋ยวจะบุกประเทศนั้น เดี๋ยวจะบุกประเทศนี้ นโยบายกับผู้อพยพลี้ภัยต่างๆ ดังนั้นที่บอกว่าแรงกดดันจากอเมริกา เราต้องมองให้ดีๆว่า ตัวเขาเองนั่นแหละ ที่กำลังละเมิดสิ่งที่เขากำลังวิจารณ์คนอื่นอยู่ ณ ขณะนี้"
"แต่สถานการณ์การเมืองและภูมิรัฐศาสตร์ ณ ปัจจุบัน มีความแตกต่างจาก ปี 2558 อย่างสิ้นเชิง ไม่ว่ารัฐบาลจะตัดสินใจอย่างไรก็จะมีคนค้าน เชื่อว่ารัฐบาลไม่เลือกข้าง เพราะไม่เป็นผลดีกับประเทศไทยเลย แต่คงคิดว่านี่คือการตัดสินใจที่ดีที่สุดต่อประเทศไทยแล้ว แต่ถูกต้องในมุมของรัฐบาล กับถูกต้องตามความจริงอาจไม่ตรงกัน เพียงแต่เชื่อว่ารัฐบาลได้เรียนรู้จากอดีตที่ผ่านมาแล้ว คงเตรียมทำการบ้านมาดี แต่ก็ต้องรับผลกระทบที่ตามมาหลังจากนี้"
ที่มาข้อมูล : https://www.reuters.com/world/us-sanction-thai-officials-over-deportation-uyghurs-china-2025-03-14/
ที่มารูปภาพ : Reuters และ US Embassy Bangkok

null null
(tossapol.chaisamritpol)