เจาะสงครามยาเสพติด "ดูแตร์เต" กวาดล้างอาชญากรรม ใช้ได้ผลหรือไม่?

เราอาจได้ยินข่าว โรดริโก ดูแตร์เต อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ถูกศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือ ICC จับกุมตัวแล้ว ฐานก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ จากนโยบายกวาดล้างยาเสพติด จนทำให้เกิดการเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก


นโยบายกวาดล้างยาเสพติดนี้ ไม่ได้ถูกใช้แค่ฟิลิปปินส์เท่านั้น แต่มีการใช้จัดการแก๊งค้ายาเสพติดอย่างแพร่หลายในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงสหรัฐอเมริกาด้วย


จาก “อดีตประธานาธิบดี” สู่ “ผู้ต้องหา” 


“โรดริโก ดูแตร์เต” ขึ้นชื่อว่า เป็นผู้ล้างบางยาเสพติด เปรียบตนเองเหมือน “นักฆ่า” ที่จัดการอาชญากรเหล่านี้ ที่สำคัญคือ เขาได้รับเลือกเป็นผู้นำประเทศ จากการให้คำมั่นสัญญาระหว่างการหาเสียงว่า จะจัดการสังหารแก๊งอาชญากรรมยาเสพติดในประเทศให้สิ้นซาก แลนั่นทำให้ได้ใจชาวฟิลิปปินส์ไปเต็ม ๆ และทำให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี 


ตั้งแต่ดูแตร์เต เข้ารับตำแหน่ง เขาก็ได้ทำตามสัญญาที่กล่าวไว้กับประชาชน นั่นคือการล้างบางกลุ่มอาชญากร 


“ถ้าคุณรู้ว่าใครติดยา ไป จงสังหารพวกเขาเสีย เพราะให้พ่อแม่พวกเขาทำเอง ก็คงจะเจ็บปวดเกินไป”

ประโยคดังกล่าว เป็นคำพูดของดูแตร์เต ขณะกำลังดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ถึงนโยบายการปราบปรามยาเสพติดที่รุนแรง 


ภายใต้การนำของดูแตร์เต ช่วงปี 2016-2020 เจ้าหน้าที่ตำรวจเผยว่า ได้วิสามัญฆาตกรรมผู้ต้องสงสัยค้ายาเสพติดไปแล้วจำนวน 6,200 ราย แต่กลุ่มสิทธิมนุษยชนต่าง ๆ  เผยว่า ตัวเลขจริงอาจสูงกว่านั้น และคาดว่า น่าจะสูงถึง 30,000 ราย

เจาะสงครามยาเสพติด "ดูแตร์เต" กวาดล้างอาชญากรรม ใช้ได้ผลหรือไม่?

สรุปข่าว

นโยบายกวาดล้างยาเสพติดนี้ ไม่ได้ถูกใช้แค่ฟิลิปปินส์เท่านั้น แต่มีการใช้จัดการแก๊งค้ายาเสพติดอย่างแพร่หลายในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงสหรัฐอเมริกาด้วย

สหรัฐฯ ต้นกำเนิดสงครามต้านยาเสพติด


การปราบปรามยาเสพติดขั้นเด็ดขาด มักเป็นแนวทางที่หลายประเทศเลือกใช้ บังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดต่อผู้ค้า และผู้ผลิตขั้นเด็ดขาด 


แต่ถึงจะจัดการขั้นเด็ดขาดอย่างไร ปัญหายาเสพติดก็ยังคงอยู่กับชาวฟิลิปปินส์ นอกจากนี้ ก็มีหลายประเทศที่ใช้นโยบายคล้ายกันนี้เช่นกัน รวมถึงสหรัฐฯ 


สหรัฐฯ เรียกได้ว่า เป็นผู้นำในการประกาศสงครามยาเสพติดมาตั้งแต่สมัยยุคประธานาธิบดี ‘ริชาร์ด นิกสัน’ ที่มองว่า ยาเสพติดคือศัตรูอันดับ 1 ของสาธารณชน พร้อมกำหนดโทษสูงสุดคือ การประหารชีวิต 


นับตั้งแต่นั้นมา สหรัฐฯ จึงเข้มงวดในการปราบปรามยาเสพติดมากขึ้น มีการใช้งบประมาณมากกว่า 17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อแก้ปัญหานี้ 


แต่เวลาผ่านมานานกว่า 50 ปี ปัญหายาเสพติดในสหรัฐฯ กลับไม่หายไปจากประเทศ

“ยาแรง” ล้มเหลว หันใช้ “ยาเบา” ให้โอกาสคน 

  

ปี 2011 คณะกรรมการสากลว่าด้วยนโยบายยาเสพติด ออกรายงาน “สงครามต้านยาเสพติด” ชี้ให้เห็นว่า สงครามยาเสพติดทั่วโลกนั้นล้มเหลว พร้อมกับเสนอให้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินนโยบาย เน้นไปที่การผ่อนปรน หันมาใช้มาตรการทางการแพทย์ บนพื้นฐานสิทธิมนุษยชน

 

ปัจจุบัน มีหลายประเทศได้ปรับเปลี่ยนทิศทางนโยบายยาเสพติด โดยยึดแนวทางแก้ปัญหาทางการแพทย์นำทางร่วมไปกับการปฏฺิรูปด้านกฎหมาย เพื่อดำเนินไปบนพื้นฐานที่มีมนุษยธรรม จนเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากกว่าวิธีการเดิม


ไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่เลือกจะเปลี่ยนมาใช้แนวทางโดยยึดหลักทางการแพทย์มากขึ้น เพื่อเป็นการเปิดทางให้โอกาสคนได้กลับตัวกลับใจเข้าสู่สังคมได้ใหม่อีกครั้ง 


แหล่งข้อมูลอ้างอิง: 


https://www.globalcommissionondrugs.org/wp-content/themes/gcdp_v1/pdf/Global_Commission_Report_English.pdf

https://www.dw.com/en/philippines-rodrigo-duterte-actions-icc-the-hague-v3/a-71888796

https://www.reuters.com/world/asia-pacific/what-happened-philippine-drug-war-that-led-dutertes-arrest-2025-03-11/

https://www.tnnthailand.com/tnnexclusive/165745/

ที่มาข้อมูล : GCDP, Reuters, DW, TNN Online

ที่มารูปภาพ : Reuters, DoD, Freepik

avatar

พรวษา ภักตร์ดวงจันทร์