ฝุ่น PM2.5 ฆาตกรเงียบ เด็กไทยเสี่ยงป่วย เลือดกำเดาไหล

สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ในประเทศไทย

ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 กลายเป็นวิกฤตมลพิษทางอากาศที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงในหลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รายงานล่าสุดจาก ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานคร ระบุว่า ค่าฝุ่น PM2.5 เฉลี่ยในวันที่ 22-24 มกราคม 2568 สูงถึง 62.6 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) ซึ่งเกินมาตรฐานความปลอดภัยที่ 50 มคก./ลบ.ม. โดยพื้นที่ที่มีค่าฝุ่นเกินระดับ "สีแดง" (151 มคก./ลบ.ม. ขึ้นไป) ได้แก่ เขตหนองแขม ทวีวัฒนา คันนายาว และบางขุนเทียน ซึ่งค่าฝุ่นอยู่ในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพประชาชน

ปัญหาฝุ่น PM2.5 เกิดจากหลายปัจจัย อาทิ การเผาในพื้นที่เกษตรกรรม การปล่อยควันดำจากยานพาหนะและโรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงสภาพอากาศที่ปิดในช่วงฤดูหนาว ซึ่งทำให้ฝุ่นละอองสะสมในบรรยากาศ โดยเฉพาะในช่วงที่มีปรากฏการณ์ "อินเวอร์ชั่น" (Inversion) หรือการกักเก็บฝุ่นใกล้ผิวดิน ส่งผลให้ค่าฝุ่น PM2.5 เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายเขตของกรุงเทพฯ

ผลกระทบทางสุขภาพ ภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม

ผลกระทบของฝุ่น PM2.5 ต่อสุขภาพเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง โดยฝุ่นขนาดเล็กนี้สามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ และแทรกซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้โดยตรง ก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจ เช่น หอบหืด ปอดอักเสบ และภูมิแพ้กำเริบ ทั้งนี้ กลุ่มเสี่ยงที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและโรคทางเดินหายใจ

นอกจากนี้ งานวิจัยจาก คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ยังชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างฝุ่น PM2.5 และอาการเลือดกำเดาไหลในเด็กเล็ก ซึ่งเกิดจากการอักเสบของเยื่อบุโพรงจมูกที่ถูกกระตุ้นโดยมลพิษทางอากาศ อาการดังกล่าวมักพบในพื้นที่ที่มีค่าฝุ่นสูง เช่น สมุทรปราการและเขตปริมณฑล ซึ่งมีรายงานจากผู้ปกครองว่านักเรียนจำนวนมากมีเลือดกำเดาไหลในช่วงที่ค่าฝุ่นพุ่งสูง

ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ค่าใช้จ่ายที่มองไม่เห็น

ฝุ่น PM2.5 ไม่เพียงแต่ทำลายสุขภาพ แต่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ งานวิจัยโดย รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ระบุว่ามลพิษทางอากาศสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจต่อประเทศไทยมากกว่า 2.173 ล้านล้านบาทต่อปี ครอบคลุมค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ การสูญเสียผลิตภาพทางเศรษฐกิจ และค่าใช้จ่ายในการป้องกันผลกระทบจากมลพิษ ซึ่งทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียทรัพยากรจำนวนมากในการแก้ไขปัญหานี้

มาตรการควบคุมฝุ่น PM2.5 ความพยายามที่ยังไม่เพียงพอ

ในปีนี้ กรุงเทพมหานครได้นำมาตรการควบคุมฝุ่น PM2.5 มาใช้ เช่น การห้ามรถบรรทุกที่ไม่ผ่านมาตรฐานเข้าพื้นที่วงแหวนรัชดาภิเษก การปิดโรงเรียนในพื้นที่ที่มีค่าฝุ่นสูง และการใช้ฝนหลวงเพื่อลดฝุ่นในบรรยากาศ อย่างไรก็ตาม ปัญหาต้นตอยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระบบ เช่น การควบคุมการเผาในพื้นที่การเกษตร และการลดการปล่อยมลพิษจากภาคอุตสาหกรรม

แม้จะมีมาตรการเฉพาะหน้า เช่น การใช้เทคนิคโปรยน้ำแข็งแห้งและการทำฝนหลวงเพื่อเปิดชั้นบรรยากาศ แต่ผลกระทบจากฝุ่นยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เนื่องจากปัญหามลพิษทางอากาศเป็นปัญหาที่ต้องการการแก้ไขเชิงโครงสร้างมากกว่าการแก้ไขชั่วคราว

การแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 จำเป็นต้องมีการบูรณาการนโยบายระหว่างภาครัฐและเอกชน รวมถึงการเพิ่มงบประมาณด้านสิ่งแวดล้อมให้มากขึ้น ข้อมูลจาก องค์การอนามัยโลก (WHO) ชี้ให้เห็นว่าประเทศที่ให้ความสำคัญกับงบประมาณสิ่งแวดล้อม เช่น สหภาพยุโรป (EU) และจีน สามารถลดผลกระทบจากมลพิษได้ดีกว่าประเทศไทย

ประชาชนก็มีบทบาทสำคัญในการช่วยลดฝุ่น PM2.5 เช่น การใช้ขนส่งสาธารณะ การลดการเผาขยะในพื้นที่โล่ง และการปลูกต้นไม้เพื่อดูดซับมลพิษ

สุดท้ายนี้ ปัญหา PM 2.5 ไม่ใช่ปัญหาของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นปัญหาของพวกเราทุกคน ทุกคนล้วนมีบทบาทในการแก้ไข คำถามคือ “เราพร้อมจะเปลี่ยนแปลงเพื่ออนาคตที่ดีกว่าหรือไม่?” การเริ่มต้นที่เล็กน้อย เช่น การใส่หน้ากากอนามัย การลดการใช้พลังงาน หรือแม้แต่การปลูกต้นไม้ อาจดูเหมือนไม่สำคัญในระดับบุคคล แต่เมื่อทุกคนร่วมมือกัน ผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ก็สามารถเกิดขึ้นได้

ฝุ่น PM2.5 ฆาตกรเงียบ เด็กไทยเสี่ยงป่วย เลือดกำเดาไหล

สรุปข่าว