‘สมรสเท่าเทียม’ เรย่า-แทมมี่ เพราะความรักเรา ไม่ได้ต่างจากหญิงชาย

“ความรัก LGBT มันไม่ได้ต่างจากหญิงชาย คนอื่นอาจจะมองว่าเราฉาบฉวย เพราะว่าน่าจะสร้างครอบครัวลำบาก หรืออยู่ๆ ไปเดี๋ยวก็เลิก แต่เราไม่ได้คิดแบบนั้น เรามองว่าคนนี้เป็นคนที่เราอยากอยู่ด้วยไปตลอดชีวิต”


ฉาบฉวย คบกันไม่ยืดยาว ไม่ยั่งยืน รักกันเพื่อหวังหลอก ต่างก็คือคำปรามาสที่คู่รักเพศหลากหลายเคยถูกดูถูก และมองในแง่ลบมาก่อน แต่ในวันที่ 23 มกราคม 2567 ซึ่งได้กลายเป็นวันประวัติศาสตร์ ที่คู่รักเพศหลากหลายสามารถจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมได้อย่างถูกกฎหมายในวันแรก ซึ่งก็ได้เห็นคู่รักหลายคู่ ที่ต่างคบกัน ใช้ชีวิตด้วยกันมายาวนานกว่า 10 ปี ไปถึง 40 ปี ชี้ให้เห็นว่าคำปรามาสเหล่านั้น อาจไม่เป็นความจริง 


เรย่า รัชยา นิลกรรณ์ และแทมมี่ – ณัฐฐิมณฐ์ แสนยามาศ เป็นหนึ่งในคู่รักที่ไปจดทะเบียนสมรสกันในวันแรก โดยก่อนหน้านี้ในเดือนพฤศจิกายน 2567 ทั้งคู่ได้จัดงานแต่งงานพิธีในแบบคริสต์ไป ซึ่งแม้อาจจะมีคนมองว่า การรักกันของทั้งคู่ ผิดกับหลักศาสนาหรือ ไม่ถูกต้อง แต่เธอก็มองว่า สำหรับเธอแล้วพระเจ้าเป็นความรัก และยิ่งใหญ่มากกว่ากว่าข้อจำกัดหลายๆ ข้อด้วย

สรุปข่าว


“ตอนที่เราคบกัน เรามองเรื่องแต่งงานอยู่แล้ว”


อาจจะเรียกได้ว่า อายุ และประสบการณ์ ทำให้ความรักของเรย่า และแทมมี่มองกันไปถึงเรื่องการแต่งงานอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่คบกันแรกๆ โดยทั้งคู่เล่าให้ฟังว่า เจอกันผ่านกลุ่มโซเชียล LGBTQ 


“เราเจอกันในกลุ่มโซเชียล LGBTQ เห็นเขาสวย น่ารัก เลยอยากจะรู้จัก เราส่งข้อความไปหาเขาว่าอยากรู้จัก ถ้าอยากคุยกันมากกว่านี้ ให้ส่งไอดีไลน์กลับมา” แทมมี่เล่า ขณะที่เรย่าเสริมว่า “เขาจีบก่อน แต่ตอนนั้น เขายังดูแมนๆ เราจะสาวกว่า เราก็บอกให้เขาเอาไอดีไลน์มา แต่เราก็ยังไม่ทักไป หลังจากนั้น 3 วัน เราถึงทักไป” 


ทั้งคู่ยังเล่าว่า ตอนนั้นแม้แทมมี่จะแมนกว่า แต่ไว้ผมยาว และมีความกล้าในการจีบ ทั้งที่ผ่านมาเรย่าเคยคบทอม แต่ไม่เคยคบผู้หญิงผมยาว หรือเลสเบี้ยนมาก่อน “ตัวเรย่าผ่านการแต่งงานมา และถ้าเรื่อง LGBT คือ ตอนเราหย่า เราก็ไปคบทอม ไม่เคยคบผู้หญิงผมยาว แแล้วมันเหมือนจุดค้นพบตัวเองมั้ง ว่าเราไม่ได้อยากคบทอม หรือผู้ชายอีกแล้ว แล้วพอเจอผู้หญิงผมยาว เป็นเลส เราเลยคิดว่า ลองดูแล้วกัน เลยทักไปหาเขา”


หลังจากนั้นทั้งคู่ได้นัดเดท และเริ่มคุยกันเลยว่าอยากจริงจังกับความสัมพันธ์ครั้งนี้ ซึ่งความสบายใจ การเทคแคร์ดูแลระหว่างกันที่ดี และการพูดคุยถึงเรื่องอดีตอย่างไม่ปิดบัง 


“เราคุยกันทุกเรื่อง ในอดีตของเรา เราไม่ปิดบัง อย่างแทมมี่เขาก็บอก ว่าเขาเป็นยังไงมาก่อน เคยแต่งงานมาก่อน แต่มาคบผู้หญิงได้หลายสิบปีแล้ว เราก็รู้สึกลงตัว และในวัย 45+ เราก็อยากคบกับใครซักคนที่สบายใจ มันเลยเหมือนเป็นเพื่อนคุย แล้ว 1 เดือนเราก็ย้ายมาอยู่ด้วยกันเลย”


ครอบครัวของแทมมี่ค่อยข้างเปิด และโอเคกับความสุขของลูก เธอจึงไม่ค่อยมีปัญหาในการคบกับผู้หญิงด้วยกัน ขณะที่เรย่านั้น พื้นเพเป็นคริสเตียน จึงมีข้อจำกัดเวลาไปโบสถ์ ในการเปิดเผย หรือแสดงความรัก ขณะที่ครอบครัวเอง ตอนแรกคุณพ่อก็ไม่ยอมรับ 


“ตอนแรกเขาไม่ยอมรับเลย เพราะเราเติบโตมาในครอบครัวที่ค่อนข้างเคร่ง แล้วถึงแม้เราจะเคยเป็นดี้ที่คบทอม ก็ไม่ได้รับการยอมรับจากครอบครัว คือไม่สามารถนำมาเป็นครอบครัวได้ ก็เลยทำให้เราต้องไปแต่งงานกับคนที่เป็นชายแท้ตลอด แต่ว่าแทมมี่เขาน่ารัก เขาเข้ากับครอบครัวได้ แล้วเรย่ามีลูก 3 ขวบ เขาก็ปรับตัวเข้ากับพ่อ และตัวเล็กได้ ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น พ่อยอมรับมากขึ้น” เรย่าเล่า 


ทั้งคู่เล่าว่า มีการขอแต่งงานขึ้น 2 ครั้ง โดยครั้งแรกแทมมี่เป็นคนขอก่อน เพราะอยากให้เรย่ารู้ว่า เธอจริงจัง และอยากใช้ชีวิตด้วยกัน ก่อนที่เรย่าจะเป็นคนขออีกครั้งในเดือนกรกฎาคม และเกิดเป็นงานแต่งงานในพฤศจิกายน ซึ่งทั้งคู่คิด มองเรื่องแต่งงานตั้งแต่แรก ตั้งแต่ช่วงคบกันใหม่ๆ ตั้งแต่ก่อนสมรสเท่าเทียมจะผ่าน


“ตอนที่เขาขอแต่งงาน เราก็ตอบตกลง ทั้งๆ ที่เรารู้ว่าการแต่งงาน มันอาจจะเป็นแค่การทำบายสีสู่ขวัญ หรือรดน้ำสังข์ในแบบพุธ แบบไทย แต่เราก็คิดว่า ถ้าเราคบคนนี้ไปในหลักปี ซึ่งตอนนั้นเราคบกันแค่หลักเดือนเอง แล้วเอาเข้าจริงๆ เราคงจะทะเบียนที่ออสเตรเลีย แล้วทำวีซ่าพาเขาไป ซึ่งตอนนั้นที่เราตัดสินใจคือมีนา แต่สมรสเท่าเทียมมาผ่านมิถุนา ซึ่งเราก็ไม่ได้คาด มันไม่ได้อยู่ในความคิดของเราเลย เราได้มาแต่งปีเดียวกับที่สมรสเท่าเทียมผ่าน เรารู้สึกว่าพระเจ้าอวยพรเรามากในส่วนนี้ เรย่าเล่า 


เราคิดว่าเรารักใครก็อยากจะอยู่กับคนนั้น และความรัก LG มันไม่ได้ต่างจากหญิงชาย คนอื่นอาจจะมองว่าเราฉาบฉวย เพราะว่าน่าจะสร้างครอบครัวลำบาก หรืออยู่ๆ ไปเดี๋ยวก็เลิก แต่เราไม่ได้คิดแบบนั้น อาจจะด้วยอายุ และประสบการณ์ชีวิตในชีวิตที่ผ่านมา และเรามองว่าคนนี้เป็นคนที่เราอยากอยู่ด้วยไปตลอดชีวิต”  เรย่าบอกกับเรา


แทมมี่เล่าว่า พยายามเตรียมงานให้ดีที่สุด และในวันงานเองทั้งคู่ก็มีความสุขมาก โดยทั้งสองคนคุยกัน และมองว่าคู่รักของทั้งคู่ ก็เหมือนชายหญิงทั่วไป และตอนแรกก็มีความกังวลว่า ผู้ใหญ่ อาจารย์ หรือศาสนจารย์จะไม่มาร่วมงาน รวมถึงคุณพ่อของเรย่าเอง ที่ตอนแรกก็อึดอัดในการจะมาร่วม แต่ทางแทมมี่ก็ได้ไปพูดคุยให้ 


“คุณแม่ของเรย่าเสียแล้วเมื่อปีที่แล้ว ก็มีคุณพ่อคนเดียว เราก็บอกคุณพ่อว่า ก็มีคุณพ่อแค่คนเดียวแล้วที่เป็นสักขีพยานในงานนี้ ถ้าคุณพ่อไม่อึดอัดจนเกินไป ก็คงเป็นความสุขของลูกทั้งสองในชีวิตนี้แล้ว พ่อก็โอเค ไม่มีปัญหา และยินดีจะไป” แทมมี่เล่า ทั้งเสริมว่า ได้อธิษฐานกับพระเจ้าว่าจะคุยกับพ่อเรื่องนี้ ขอให้ประสบความสำเร็จ และพ่อเข้าใจ และก็ได้พระพรนั้นจริงๆ

 

“ความรักของพระเจ้าไร้เงื่อนไข แล้วยิ่งใหญ่มากกว่ากว่าข้อจำกัดหลายๆ ข้อ”  


เรย่า และแทมมี่จัดการแต่งงานในแบบคริสต์ ซึ่งเรย่าเล่าว่าตอนแรกก็ถูกปฏิเสธจากโบสถ์ในการทำพิธี และก็จากศาสนาจารย์บางท่าน แต่ก็เข้าใจ และไม่ได้เครียด “เรามีพระเจ้า และเรารู้ว่าพระเจ้ารักเราอย่างไร ส่วนตัวเรามองในเรื่องของความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระเจ้า เรารู้ เราคุยกับพระเจ้าเสมอ ถ้าไม่มีพระเจ้า เราสองคนจะไม่สามารถเดินมา หรือจัดทุกอย่างให้เกิดอย่างง่ายดาย ความเชื่อเราค่อนข้างเข้มแข็ง” 


“ศาสนาไม่ใช่เรื่องผิด ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี ตรงนี้เราเข้าใจ แต่เราก็มองว่าทุกศาสนามีขอบเขต มีกฎระเบียบ เราไม่ไปแตะตรงนั้น แต่ถ้าวันนึงทุกคนก็จะเข้าใจเองว่า ถ้าคุณได้ลองมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าส่วนตัว จะรู้ว่าความรักของพระเจ้าไร้เงื่อนไข แล้วยิ่งใหญ่มากกว่ากว่าข้อจำกัดหลายๆ ข้อที่คุณคิด ความรักของ LGBTQ อาจจะเป็นความรักที่ไม่ได้เหมือนประเพณีดั้งเดิมของมนุษย์ในอดีต แต่ให้รู้ว่าพวกเราก็มีความรัก ในคู่ของเรามีความต้องการในคู่ของเรา ความต้องการอยากสร้างสัมพันธ์สร้างครอบครัวแล้วก็เราต้องการแค่สันติสุขในความการใช้ชีวิตคู่ เท่านั้นเองเป็นสิ่งสำคัญ” เรย่ามอง 


“พอคบกัน รักกัน มันต้องหาจุดลงตัวว่า ความลงตัวของเราทั้งคู่อยู่ตรงไหน”


ระหว่างคู่ของเรย่า และแทมมี่ ซึ่งเป็นผู้หญิงทั้งคู่ ก็เคยผ่านจุดที่ทะเลาะ และไม่ลงตัวกันในบทบาทของแต่ละคนมาก่อน ซึ่งมันก็กลายเป็นอุปสรรคในช่วงแรก  


“ในตอนแรกที่ที่แทมมี่จะเป็นเหมือนฝ่ายชาย ทีนี้เหมือนระหว่างเราสองคนก็มีความต่างเยอะ พอได้มาเหมือนสลับร่างสร้างรักกันเรียกแบบนี้ดีกว่า ก็เหมือนเกิดความลงตัวมากขึ้น” แทมมี่เล่า 


โดยเรย่า ที่เป็นเจ้าของธุรกิจ มีความเป็นผู้นำ ได้กลายมาเป็นคนนำมากขึ้น และแทมมี่ ตัดสินใจลาออกจากงาน มาซัพพอร์ตแทน ในการดูแลบ้าน ดูแลลูก ซึ่งทำให้ทั้งคู่รู้สึกลงตัวมากขึ้น ซึ่งเรย่าเองก็เล่าว่า ที่ผ่านมาเธอเป็นฝ่ายหญิงมาตลอด แต่ก็รู้ตัวว่ามีความเป็นผู้นำ และผู้หญิงแกร่ง แต่วันแรกที่ได้เจอแทมมี่ ซึ่งตอนนั้นผมยาว นั่นเป็นแรกพบที่ทำให้เธอใจเต้นขึ้นมา 


“แต่ขำที่ว่าพอเขาคบเราช่วงแรก เค้าไปตัดผม เพื่อเป็นทอม เพราะเขาคิดว่าเราอยากคบทอม” -  เรย่า

“กลัวความสัมพันธ์ไปไม่รอด กลัวเขาไม่ได้เลือกที่จะคบเรา เลยเปลี่ยนทุกอย่างให้เขาพอใจ ให้รู้ว่าเราตั้งใจที่จะคบเขา เราก็ไปตัดผมสั้นเลย” - แทมมี่

“แต่คือเราเบื่อ เราไม่อยากคบทอมแล้ว อยากจะคบผู้หญิง ทะเลาะกันมาประมาณ 6 เดือน นี่ก็จะเป็นผู้ชาย ส่วนเราก็ไม่อยากได้ผู้ชาย” - เรย่า


ซึ่งสุดท้ายก็หาจุดที่ลงตัวกันได้ และแฮปปี้ทั้งคู่ โดยทั้งคู่เล่าว่าได้อธิษฐานให้พระเจ้านำในเรื่องนี้ 


“เราคิดว่าการรักกันหรือการสร้างครอบครัว ควรที่จะอยู่ภายใต้กฎหมายเหมือนกันทุกคน”

เรย่า และแทมมี่ มองว่าการจดทะเบียนสมรสเป็นการทำให้คู่รักเพศหลากหลาย ได้รับสิทธิ และเป็นจุดเริ่มต้นของความรักที่ปลอดภัยมากขึ้น 

”ก่อนที่สมรสเท่าเทียมจะผ่าน เราเคยไปโรงพยาบาล แล้วเขาก็ถามว่าขอชื่อคู่สมรส คู่ครอง หรือญาติ เราก็บอกชื่อแทมมี่ไป เขาก็แบบเอ๊ะ ทำไมเป็นผู้หญิงทั้งคู่ เขาก็ขอชื่อคุณพ่อ หรือคุณแม่แทน แต่หลังจากสมรสเท่าเทียมผ่าน แม้ยังไม่ได้มีการบังคับใช้ แต่ไปโรงพยาบาลทุกครั้งจะไม่มีคำถามแบบนี้อีกแล้ว เรารู้สึกสบายใจมากที่จะบอกว่าแฟนค่ะ ชื่อนี้ค่ะ ติดต่อได้ฉุกเฉิน เหมือนทุกคนก็ยอมรับมากขึ้น” เรย่าเล่า 

ซึ่งแม้ว่าประเทศไทยจะเป็นประเทศแรกในอาเซียน และประเทศที่ 3 ในเอเชีย ที่ผ่านกฎหมายนี้ แต่เรย่าที่เติบโต และอาศัยอยู่ที่ออสเตรเลียมาเป็นเวลานาน ก็คุ้นชินกับการเห็นกิจกรรม Pride และสมรสเท่าเทียมมาแล้ว โดยได้เห็นการมอง LGBT เป็นมนุษย์ที่เท่าเทียม รวมไปถึงการให้การศึกษากับเด็กๆ ให้เด็กที่เติบโตในครอบครัว LGBT ไม่รู้สึกแปลกแยก รวมไปถึงยังมีโบสถ์ที่เปิดรับ LGBTQ ด้วย “เราชอบตรงที่ว่าเขาให้ความสำคัญตั้งแต่ผู้ใหญ่ไปจนถึงไปจนถึงเด็ก คือครอบคลุมทุกๆ ด้านสังคม ประเพณี กฎหมาย แล้วเขาทำมานานแล้วจนในวันนี้ไม่มีใครเลยที่รู้สึกว่าแปลกแยก หรือถูกทิ้งไว้ข้างหลัง คือทุกคนมีความเท่าเทียมกันมากๆ” 

นอกจากนี้เธอยังเสริมว่าที่ออสเตรเลีย แม้จะไม่มีการจดทะเบียนสมรสร่วมกัน แต่ก็มีการมองถึงทรัพย์สินของคู่ชีวิที่สร้างกันมา ซึ่งเธอก็หวังว่าในอนาคต กฎหมายไทยจะไปถึงจุดนั้นได้ในอนาคต รวมไปถึงเรื่องอื่นๆ อย่างการรับรองบุตร ที่ตอนนี้รับรองบุตรร่วมได้ แต่ยังเป็นบุพการีไม่ได้ ไปถึงคำนำหน้าชื่อด้วย 

ทั้งหลังการจดทะเบียนสมรสมีบังคับใช้อย่างเป็นทางการแล้ว คู่รักคู่นี้ก็หวังว่า จะไม่เป็นเพียงกระแส แต่ต้องมั่นใจว่าทุกๆ สถาบัน และองค์กรให้ความเท่าเทียมและมีความเข้าใจในตัวบทกฎหมาย ทั้งกฎหมายปลีกย่อย ไม่ว่าจะสถาบัน และองค์กรต่างๆ ในการปฏิบัติต่อคู่รักที่จดทะเบียนสมรสเท่าเทียมด้วย 

และแม้ว่า 23 มกราคม 2567 จะเป็นวันที่หลายคนร่วมยินดี แต่ในมุมนึง ยังมีคนที่ไม่เห็นด้วย ไม่เข้าใจ และมองว่าสิทธิของ LGBTQ เป็นเรื่องตลก คู่รักคู่นี้ก็ยืนยันว่า “เราคิดว่าการรักกันหรือการสร้างครอบครัว ควรที่จะอยู่ภายใต้กฎหมายเหมือนกันทุกคน เราไม่ได้อยากจะทำอะไรเหนือกฎหมาย หรือนอกกฎหมาย เราก็แค่อยากเป็นคนที่อยู่ในประเทศไทยอย่างสันติสุข ดังนั้นกฎหมายก็คือการคุ้มครองผู้คนให้อยู่กันอย่างสันติสุข เราก็แค่อยากให้จะเป็นส่วนหนึ่งในนั้น และทำให้ความรักของเราเกิดความรับผิดชอบ และเป็นส่วนหนึ่งของสังคม”

ที่มาข้อมูล : -

ที่มารูปภาพ : TNN Online