Stablecoin คืออะไร? คลังจ่อออก 1 หมื่นล้านอิงพันธบัตรรัฐบาลในปีนี้ คนไทยได้ประโยชน์ยังไง?

2568 คือก้าวสำคัญของไทยสู่สินทรัพย์ดิจิทัล

พลันหลังข่าวการกล่าวของ คุณพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และ รมว.คลัง ว่าคลังกำลังศึกษาความเป็นไปได้ที่จะใช้ Tokenization ทำ Stablecoin โดยมีพันธบัตรรัฐบาล เป็นสินทรัพย์ค้ำประกัน 1 หมื่นล้านบาทภายในปีนี้ 

โดยเฟสแรกล็อตทดลองเป็น โทเคนเพื่อการลงทุนกำหนดมูลค่า เช่น  1 Token = 1 บาท และเฟสต่อไปจะพัฒนาเป็น Stablecoin ที่สามารถใช้ซื้อสินค้าและบริการได้จริง หวังเพิ่มสภาพคล่องในการซื้อขาย ให้ประชาชนรายย่อยเข้าถึงได้มากขึ้น 

รวมถึง Phuket sandbox ที่รัฐกำลังหารือกับ แบงก์ชาติเรื่องข้อกฏหมาย  เพื่อเปิดให้สามารถใช้ เงินดิจิทัล เช่น Bitcoin ซื้อขายสินค้าและบริการได้ที่ภูเก็ต หวังดึงดูดนักลงทุนและนักท่องเที่ยวต่างชาติ

 ทั้งหมดนี้คือความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางการเงินและการลงทุนของประเทศไทย ที่จะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันระดับโลก แต่คำถามสำคัญคือ จะเสร็จเมื่อไหร่? เกิดได้จริงไหม และคนไทยพร้อมแค่ไหนกับ  Digital Asset และ ได้ประโยชน์อย่างไรจากเรื่องนี้บ้าง ? มาทำความเข้าใจพื้นฐานเรื่องนี้ง่ายๆไปพร้อมๆกัน ซึ่งต้องเริ่มจาก ความหมายของศัพท์ในวงการ สินทรัพย์ดิจิทัล กันก่อน

Stablecoin คืออะไร? คลังจ่อออก 1 หมื่นล้านอิงพันธบัตรรัฐบาลในปีนี้  คนไทยได้ประโยชน์ยังไง?

สรุปข่าว

กระทรวงการคลังกำลังศึกษาความเป็นไปได้ที่จะใช้ Tokenization ทำ Stablecoin โดยอ้างอิงกับพันธบัตรรัฐบาล เพื่อให้ประชาชนรายย่อยสามารถลงทุนได้มากขึ้น เสริมสภาพคล่องของสินทรัพย์ และเฟสต่อไปจะพัฒนาต่อไปเพื่อให้นำสินทรัพย์ดิจิทัล มาใช้จ่ายได้จริง ลดความเหลื่อมล้ำทางการเงิน และดึงดูดเงินทุนจากต่างประเทศ โครงการนี้กำลังถูกมองว่าเป็นก้าวสำคัญสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ที่หากทำสำเร็จคือจุดเปลี่ยนสำคัญโชว์ศักยภาพประเทศ แต่ยังมีประเด็นท้าทายที่ต้องพิจารณาให้รอบคอบ ทั้งความพร้อมของประชาชน โครงสร้างกำกับดูแล งบประมาณและขีดความสามารถของรัฐบาล และผลกระทบต่อภาคการเงินดั้งเดิม ความก้าวหน้าทางนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเงินเป็นสิ่งจำเป็นที่รัฐควรเร่งผลักดันทั้งระบบ แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่างรวมทั้งสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน จึงอาจยังมีคำถามสำคัญว่า คิดรอบคอบมาแล้วหรือไม่? แล้วคนไทยพร้อมหรือยังสำหรับการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคของ "เงินดิจิทัล"

Tokenization / Stable coin / cryptocurrency คืออะไร - แตกต่างกันยังไง ?
3 สิ่งนี้เป็น Digital Asset หรือ สินทรัพย์ดิจิทัลเหมือนกัน แต่แตกต่างกัน ดังนี้

1. Tokenization คืออะไร?  การแปลงสินทรัพย์ หรือ ข้อมูลจริงๆ ให้เป็นโทเคนดิจิทัลสามารถใช้แทนสินทรัพย์จริงได้ 

การแปลงเงินเป็นโทเคน : Stablecoin เช่น  Thai Baht Stablecoin โอน จ่าย หรือเก็บเงินในรูปแบบดิจิทัลได้สะดวกขึ้น

การแปลงอสังหาริมทรัพย์เป็นโทเคน : ตึกหนึ่ง มูลค่า 100 ล้านบาท ถ้ากำหนดให้เป็นโทเคนละ 100 บาท ตึกนี้จะแปลงมูลค่า เป็น 1 ล้านโทเคน = 100 ล้านบาท  นักลงทุนสามารถซื้อขายโทเคนและลงทุนเป็นเจ้าของร่วมได้ เพิ่มโอกาสให้นักลงทุนรายย่อย เข้าถึงการลงทุนได้

----------------------------------

2.Cryptocurrency คืออะไร? คือ สกุลเงินดิจิทัลที่ไม่มีสินทรัพย์อ้างอิง มีความผันผวนสูง ทำงานบนเทคโนโลยีบล็อกเชน ไม่มีการผูกมูลค่ากับสินทรัพย์จริง ราคาจึงขึ้นอยู่กับตลาดล้วนๆ  ไม่ผ่านตัวกลางในการแลกเปลี่ยน  เช่น Bitcoin, Ethereum

----------------------------------

3.Stablecoin คืออะไร? กึ่งกลางระหว่าง Tokenization และ Cryptocurrency คือ รูปแบบหนึ่งของ Tokenization คือการแปลง เงิน ให้อยู่ในรูปแบบ Token Digital ทำงานบนเทคโนโลยีบล็อคเชน เหมือน คริปโตเคอเรนซี่ แต่ราคาจะคงที่ผันผวนน้อยเพราะเป็น Tokenization มักผูกกับสินทรัพย์ที่มีมูลค่าคงที่ เพื่อรักษาเสถียรภาพของมูลค่า เช่น เงินสกุลต่างๆ ดอลลาร์สหรัฐ  ทองคำ เงินบาทไทย (ที่กำลังถูกพูดถึงอยู่ขณะนี้)


คนไทยได้ประโยชน์อะไรจากสินทรัพย์ดิจิทัล ที่รัฐบาลกำลังขับเคลื่อน ?

1. ประชาชนรายย่อยเข้าถึงการลงทุนได้ง่ายขึ้น  เช่น อสังหาริมทรัพย์ พันธบัตรรัฐบาล หุ้น 

- มีทางเลือกในการออมและการลงทุนที่หลากหลาย

- ลดความเหลื่อมล้ำทางการเงินและสร้างโอกาสสำหรับผู้ที่ไม่มีบัญชีธนาคาร

.

2. ธุรกรรมทางการเงินที่สะดวกและประหยัดขึ้น

.

3. การพัฒนาธุรกิจและผู้ประกอบการบนเทคโนโลยีบล็อกเชน

.

4. ความโปร่งใสและความปลอดภัย เพราะตรวจสอบการทำธุรกรรมได้ 

.

5. เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ เกิดการสร้างอุตสาหกรรมใหม่

.

6.รองรับการเปลี่ยนแปลงของนวัตกรรมแห่งอนาคตเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจดิจิทัลของโลกและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันระดับภูมิภาค

.

แม้ว่าเราเห็นถึงประโยชน์และข้อดีมากมาย แต่ก็ยังมีคำถามสำคัญที่ต้องทิ้งท้าย ? 

1. กระบวนการนี้จะสำเร็จเมื่อไหร่? ได้จริงไหมและจะทันภายใต้รัฐบาลชุดปัจจุบันหรือไม่? ไม่เช่นนั้นจะเป็นการทำแล้วขาดตอน เพราะความไม่แน่นอนทางการเมือง ละลายงบประมาณ

2. คนไทยพร้อมแล้วหรือยัง ที่จะเปิดรับความรู้ให้สามารถใช้งาน Digital Asset

3. รัฐมีโจทย์ที่ต้องใช้งบประมาณที่ด่วนกว่า การมาพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเอง ที่ต้องใช้งบมหาศาลทั้งประสบการณ์และความสามรถ อาจยังไม่ทันเท่ากับเอกชน ที่มีความสามารถและความพร้อมในการทำแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลมากกว่า ควรขอเป็นความร่วมมือเพื่อใช้หรือพัฒนาทรัพยากรร่วมกัน อาจเป็นสิ่งที่ทำให้นโยบายนี้เกิดได้เร็วขึ้น กว่ารัฐสร้างเอง (ของเดิมคล้ายๆกัน สมัยรัฐบาลชุดก่อนก็ยังมีที่ใช้ได้และค้างต่อ)

4. จะเกิดแรงต้านหรือไม่หากสุดท้ายมีฝ่ายเสียผลประโยชน์เพราะถูก Disrupt ? เหล่านี้ยังเป็นสิ่งที่คลุมเครือ ที่ต้องรอความชัดเจนจากรัฐบาลต่อไปภายใน 2 ปีข้างหน้า หากไม่เกิดการสะดุดล้มทางการเมืองเสียก่อน


อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนก็ยังสนับสนุน หากรัฐบาลต้องการสร้างสาธารณูปโภคทางด้านสินทรัพย์ดิจิทัลให้คนไทยทั้งเรื่อง Stablecoin อิงพันธบัตร หรือการทำให้สามารถนำมาใช้จ่ายในชีวิตได้ด้วยคริปโตเคอเรนซี่ แต่เรื่องนี้จะเกิดผลดีต่อคนไทย ต้องอาศัยการพัฒนาระบบนิเวศที่เหมาะสม ปลอดภัย การให้ความรู้แก่ประชาชนที่เพียงพอ และการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและการยอมรับในวงกว้าง

ที่มาข้อมูล : กระทรวงการคลัง

ที่มารูปภาพ : Canva