หมอกควันใหญ่แห่งลอนดอน อากาศเสียคร่าชีวิตนับหมื่น จนนำมาสู่กฎหมายอากาศสะอาด
อย่างที่รู้กันว่า อากาศ และมลพิษส่งผลต่อร่างกาย และสุขภาพ และในไทยเองจากมรสุมฝุ่น PM2.5 กันตั้งแต่ต้นปี ซึ่ง 3 สัปดาห์แรก ของเดือนมกราคม ก็พบผู้ป่วยจากฝุ่นนี้กว่า 1 แสนคนแล้ว
ซึ่งจากกรณีในต่างประเทศ ก็เห็นได้ว่าไม่ใช่แค่ป่วย แต่อากาศเสียอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ จากเหตุการในเดือน ธันวาคม ปี 1952 ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ที่ทั้งเมืองต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตสิ่งแวดล้อมครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ หมอกควันที่หนาทึบปกคลุมเมืองเป็นเวลา 5 วัน ตั้งแต่วันที่ 5-9 ธันวาคม ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและสุขภาพของประชาชนอย่างมหาศาล
วิกฤตครั้งนี้ไม่เพียงสร้างความตื่นตระหนก แต่ยังกลายเป็นแรงผลักดันสำคัญที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมในอังกฤษอย่างยั่งยืน
ลอนดอน เมืองแห่งหมอก
ลอนดอนเป็นที่รู้จักมานานในนาม “เมืองหมอก” ซึ่งปรากฏการณ์หมอกหนาทึบมีมาแต่ศตวรรษที่ 13 อันเป็นผลจากการเผาถ่านหินในครัวเรือนและอุตสาหกรรม หมอกที่มีลักษณะเป็นสีเหลืองคล้ำและมีอนุภาคพิษนี้ถูกขนานนามว่า “หมอกถั่ว” (Pea Soup Fog) ซึ่งในศตวรรษที่ 19 การปฏิวัติอุตสาหกรรมทำให้มลพิษยิ่งเพิ่มมากขึ้น โรงงานที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงผุดขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับการขยายตัวของเมือง ส่งผลให้ปัญหาหมอกควันกลายเป็นสิ่งที่ฝังลึกในชีวิตของชาวลอนดอน
แม้จะมีเสียงร้องเรียนเกี่ยวกับมลพิษและปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้อง แต่ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและความสะดวกสบายที่ได้รับจากการใช้ถ่านหินกลับทำให้ปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง กระทั่งปี 1952 ที่หมอกควันร้ายแรงได้ทวีความรุนแรงจนรัฐไม่สามารถเพิกเฉยได้อีกต่อไป
สรุปข่าว
สาเหตุของหมอกควันครั้งใหญ่ในปี 1952
ในช่วงเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม ปี 1952 อากาศในอังกฤษจะหนาวเย็นเป็นพิเศษ ชาวลอนดอนจึงเผาถ่านหินในปริมาณมากเพื่อสร้างความอบอุ่น ควันจากปล่องไฟบ้านเรือนผสมผสานกับมลพิษจากโรงงานและการเผาเชื้อเพลิงในยานพาหนะ อย่างไรก็ตาม สภาพอากาศในช่วงนั้นเกิดการผกผันของอากาศ (Temperature Inversion) ซึ่งอากาศอุ่นชั้นบนกดทับอากาศเย็นชั้นล่าง ทำให้มลพิษถูกกักเก็บไว้ใกล้พื้นดินแทนที่จะกระจายตัวออกไป
ในเช้าวันที่ 5 ธันวาคม สภาพอากาศที่สงบและลมเบา ทำให้อากาศใกล้พื้นดินเย็นลงจนเกิดหมอกควันหนาทึบ ความชื้นในอากาศจับตัวกับอนุภาคของมลพิษ เช่น กำมะถันไดออกไซด์และอนุภาคฝุ่น ทำให้เกิดหมอกพิษที่เข้มข้น ครอบคลุมพื้นที่ของทั่วทั้งกรุงลอนดอน
แม้ปลายเท้าก็มองไม่เห็น ผลกระทบที่มาจากหมอกคัวน
หมอกควันในปี 1952 ส่งผลกระทบรุนแรงต่อชีวิตประจำวันของชาวลอนดอน ทัศนวิสัยลดลงอย่างมากจนคนเดินถนนไม่สามารถมองเห็นปลายเท้าของตนเองได้ การขนส่งหยุดชะงักเกือบทั้งหมด รถโดยสารสาธารณะไม่สามารถให้บริการ และบริการรถพยาบาลได้รับผลกระทบจนทำให้ผู้ป่วยต้องเดินทางไปโรงพยาบาลด้วยตนเอง คอนเสิร์ตและการแสดงในร่มถูกยกเลิกเนื่องจากผู้ชมมองไม่เห็นเวที
ในเขตตลาดสมิธฟิลด์ ฝูงวัวเสียชีวิตจากการหายใจไม่ออก และอาชญากรรมบนท้องถนนเพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่ทัศนวิสัยต่ำ ชาวลอนดอนจำนวนมากต้องทนทุกข์กับโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคปอดบวมและหลอดลมอักเสบ
โดยในตอนแรก วิสตัน เชอร์ชิล นายกฯ อังกฤษ ก็เข้าใจว่า หมอกนั้นคือหมอกในฤดูหนาว จึงไม่ได้มีมาตรการแก้ไข จนสถานการณ์เร็วร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งในช่วงแรก จำนวนผู้เสียชีวิตจากหมอกควันครั้งนี้ถูกประเมินไว้ที่ประมาณ 4,000 ราย อย่างไรก็ตาม การศึกษาภายหลังพบว่าตัวเลขที่แท้จริงอาจสูงถึง 12,000 ราย โดยมีผู้ป่วยอีกหลายหมื่นรายที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจากผลกระทบของมลพิษทางอากาศ นอกจากปัญหาสุขภาพโดยตรงแล้ว หมอกควันยังสร้างผลกระทบทางจิตวิทยาและสังคมต่อผู้คนในลอนดอนอย่างมากด้วย
หมอกควัน ที่นำมาสู่กฎหมายอากาศสะอาด
วิกฤตหมอกควันครั้งใหญ่ในปี 1952 กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ผลักดันให้รัฐบาลอังกฤษตระหนักถึงความจำเป็นในการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ ในปี 1956 รัฐสภาอังกฤษได้ผ่านกฎหมาย “พระราชบัญญัติอากาศสะอาด” (Clean Air Act) ซึ่งมีมาตรการสำคัญในการลดมลพิษ เช่น การกำหนดพื้นที่ปลอดควัน (Smoke Control Areas) การสนับสนุนให้ประชาชนเปลี่ยนมาใช้เชื้อเพลิงสะอาด เช่น ก๊าซธรรมชาติ น้ำมัน และไฟฟ้า รวมถึงการควบคุมการปล่อยมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม
แม้พระราชบัญญัติอากาศสะอาดจะใช้เวลาหลายปีในการดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบ แต่ถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศในลอนดอนและทั่วประเทศอังกฤษ นอกจากนี้ วิกฤตครั้งนี้ยังเป็นแรงบันดาลใจให้ประเทศอื่นๆ ตระหนักถึงปัญหามลพิษทางอากาศและพัฒนากฎหมายเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมในเวลาต่อมา
หมอกควันครั้งใหญ่ในลอนดอนในปี 1952 เป็นบทเรียนสำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมของมนุษย์กับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม มันสะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบที่รุนแรงของการละเลยการจัดการมลพิษทางอากาศ และความจำเป็นในการวางนโยบายที่ยั่งยืนเพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชนและระบบนิเวศน์
พรบ.อากาศสะอาดของไทย เมื่อไหร่จะได้บ้าง ?
จากหายนะใหญ่ จนมีกฎหมายอากาศสะอาด แล้วประเทศไทย ที่ตอนนี้คุณภาพอากาศเองก็ย่ำแย่ นำมาสู่คำถามว่า ร่าง พรบ.อากาศสะอาดของไทยนั้น ไปถึงไหนแล้ว
การพัฒนาร่างพระราชบัญญัติฯ เพื่อการจัดการมลพิษอย่างยั่งยืน ได้มีการผ่านร่างไปแล้วตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคม 2567 และมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนไปแล้วเมื่อปลายปี ดังนั้นไทม์ไลน์ต่อไปคาดว่า จะถูกเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา และหากเห็นชอบ จะเสนอให้วุฒิสภาพิจารณา ซึ่งก็คาดว่าเราจะได้ใช้กฎหมายนี้ในปี 2568 นี้
ร่างพรบ.นี้ มุ่งเน้นการจัดการมลพิษทางอากาศอย่างครอบคลุม ตั้งแต่การป้องกัน การจัดการในภาวะฉุกเฉิน และการแก้ไขปัญหามลพิษข้ามแดน โดยใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสำคัญ พร้อมทั้งส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เพื่อป้องกัน ควบคุม และแก้ไขปัญหามลพิษอย่างเป็นระบบ ซึ่งหากมีการบังคับใช้งานจริง เราคงต้องติดตามว่า ปัญหาฝุ่นควัน PM2.5 ในบ้านเรา จะดีขึ้นจริงๆ เหมือนอย่างอังกฤษหรือไม่
ที่มารูปภาพ : London Museum