วัดพระมหาธาตุฯ เมืองคอน บนเส้นทางสู่มรดกโลก
"วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร" มุ่งสู่มรดกโลก ความภาคภูมิใจของชาวนครศรีธรรมราช
นับเป็นข่าวดีของชาวนครศรีธรรมราชและคนไทยทั้งประเทศ เมื่อนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เตรียมนำเสนอวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารเพื่อขอรับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกต่อคณะรัฐมนตรีในวันที่ 28 มกราคม 2568 ภายหลังจากที่คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกได้มีมติเห็นชอบร่างเอกสารการนำเสนอเมื่อวันที่ 15 มกราคม ที่ผ่านมา
การเดินทางสู่การเป็นมรดกโลกของวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารนั้นใช้เวลายาวนานกว่า 10 ปี นับตั้งแต่ปี 2556 ที่คณะกรรมการมรดกโลกมีมติรับรองให้เข้าสู่บัญชีเบื้องต้น ในการประชุม ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา จากนั้นกรมศิลปากรร่วมกับจังหวัดนครศรีธรรมราชและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันจัดทำเอกสารและดำเนินการตามหลักเกณฑ์ของยูเนสโกมาอย่างต่อเนื่อง
วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารมีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 1,500 ปี ย้อนไปถึงปี พ.ศ. 854 เมื่อเจ้าชายทนทกุมารและพระนางเหมชาลาได้สร้างวัดขึ้น และได้รับการบูรณะครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 1093 โดยพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์ปทุมวงศ์แห่งอาณาจักรตามพรลิงค์ ผู้สร้างเมืองนครศรีธรรมราช วัดแห่งนี้จึงเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาที่สำคัญของภาคใต้มาอย่างยาวนาน
จุดเด่นสำคัญของวัดคือพระบรมธาตุเจดีย์ที่มีความสูง 55.78 เมตร สร้างด้วยศิลปะแบบศรีวิชัยผสมผสานกับศิลปะลังกา มียอดเจดีย์หุ้มด้วยทองคำแท้อันเป็นที่มาของคำว่า "พระธาตุทองคำ" ในคำขวัญจังหวัด โดยรอบพระบรมธาตุเจดีย์ยังมีวิหารสำคัญที่แสดงถึงความวิจิตรงดงามของงานศิลปกรรมไทยโบราณ เช่น วิหารพระมหาภิเนษกรมน์ วิหารเขียน และวิหารทับเกษตร
คุณค่าที่โดดเด่นระดับสากลของวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารอยู่ที่การเป็นศูนย์กลางการผสมผสานทางวัฒนธรรมระหว่างศาสนาพราหมณ์-ฮินดู พุทธศาสนามหายาน และพุทธศาสนาเถรวาท ที่ยังคงมีการใช้งานต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน สะท้อนผ่านสถาปัตยกรรม ศิลปกรรม และประเพณีสำคัญ อย่างเช่น ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ ที่ชาวนครศรีธรรมราชร่วมกันสืบสานมาอย่างยาวนาน
การขอขึ้นทะเบียนครั้งนี้ได้กำหนดพื้นที่ครอบคลุมทั้งเขตพุทธาวาสและสังฆาวาสของวัด พร้อมกำหนดพื้นที่กันชนครอบคลุมเขตเมืองเก่านครศรีธรรมราช มีการวางแผนการอนุรักษ์และการจัดการพื้นที่อย่างเป็นระบบ เพื่อรักษาคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมให้คงอยู่อย่างยั่งยืน
นายปรีชากร โมลิกา ประธานภาคีเครือข่ายภาคประชาชนคนนคร คาดการณ์ว่าหากวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก จะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและสร้างรายได้เพิ่มขึ้นปีละ 500-750 ล้านบาท เกิดประโยชน์แก่ชุมชนท้องถิ่น ธุรกิจการท่องเที่ยว และบริการที่เกี่ยวเนื่อง
ขณะนี้เอกสารการนำเสนอได้ผ่านการพิจารณาจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและกระทรวงการต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงการนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีในวันที่ 28 มกราคม 2568 เพื่อให้ทันยื่นเอกสารต่อศูนย์มรดกโลก ณ กรุงปารีส ภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 หากสำเร็จ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารจะเป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งแรกของภาคใต้ นับเป็นความภาคภูมิใจของชาวนครศรีธรรมราชและคนไทยทั้งประเทศที่จะได้ร่วมกันอนุรักษ์และสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่านี้ให้คงอยู่สืบไป
สรุปข่าว
ที่มาข้อมูล : TNN เรียบเรียง มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ จ. นครศรีธรรมราช
ที่มารูปภาพ : TNN