“สมรสเท่าเทียม” ในวันที่ความรักสองเรา จะไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
---จากรุ่นพี่รุ่นน้อง สู่คู่ชีวิต 17 ปี---
จุดเริ่มต้นความรักของทั้งคู่ ต้องย้อนไปเมื่อประมาณ 17 ปีที่แล้ว ในงานเลี้ยงรุ่นของมหาวิทยาลัย “พอร์ชและอาม” ได้พบกัน และพูดคุยกันเป็นครั้งแรก
“เราเจอกันที่งานรียูเนี่ยนของมหาวิทยาลัย พี่พอร์ช เป็นรุ่นพี่อาม เราห่างกัน 11 ปี เจอกันก็พูดคุยทักทาย สักพักนึง เขาก็ทักเรามาใน Hi-5 หลังจากนั้นก็พูดคุยกันมาเรื่อย ๆ และเราก็รู้สึกแปลก ๆ ว่า ทำไมคนนี้คุยกับเราเยอะจัง” อาม-สัพพัญญู ปนาทกุล เล่ารำลึกถึงความหลังจุดเริ่มต้นความรักของทั้งคู่
“เอ้า ก็จีบไง” พอร์ช-อภิวัฒน์ อภิวัฒน์เสรี ตอบกลับ
อาม กล่าวต่อไปว่า หลังจากนั้น พวกเขาก็พัฒนาความสัมพันธ์กันมาเรื่อย ๆ จนถึงวันนี้ ครองรักกันมาถึง 17 ปีแล้ว
เมื่อถามทั้งคู่ว่า ในช่วงเวลาที่ตัดสินใจคบกัน พวกเขาเจออุปสรรค หรือ ปัญหา อะไรบ้างหรือไม่ เนื่องจากช่วงเวลานั้น สังคมอาจยังไม่เปิดกว้าง และยังไม่มีกฎหมายรองรับ
พอร์ช ตอบว่า ในแง่ของครอบครัวและกลุ่มเพื่อน พวกเขาไม่เจอการปิดกั้นใด ๆ จากคนใกล้ชิดเลย ทุกคนรับรู้ และรับทราบถึงความรักของทั้งสอง
“ครอบครัวไม่ได้มองว่า เราเป็น LGBTQ หรือว่าเป็นอะไร ก็แค่มองว่า ลูกมีความรักก็เท่านั้น” พอร์ช กล่าว
สรุปข่าว
---ไม่ใช่ทุกคน จะยินดีกับทุกความรัก---
หลังจากร่วมกันปลูกต้นรักจนเป็นเวลา 6 ปี พอร์ชก็ได้คุกเข่าขออามแต่งงาน เหตุการณ์ในวันนั้น ถูกบันทึกภาพวิดีโอโดยเพื่อนของพวกเขา และกลายเป็นไวรัลบนอินเตอร์เน็ต คนรอบข้างและชาวเน็ตบางส่วนต่างร่วมยินดีกับความรักของพวกเขา
แต่ขณะเดียวกัน ความเห็นบนโลกอินเตอร์เน็ตส่วนใหญ่ ก็เข้ามาทิ่มแทงความรู้สึกภายในจิตใจทั้งคู่
“วันนั้น ผมถึงได้รู้ว่า ออกไปจากครอบครัวและกลุ่มเพื่อนเราแล้ว ยังมีคนอีกหลากหลายที่ไม่ได้ยินดีกับทุกความรักของมนุษย์ วันนั้นก็ใช้แรงใจอย่างสูง ทั้งจากอามและครอบครัว ช่วยกันมอง ช่วยกันคิด ช่วยกันให้กำลังใจว่า เราไม่มีความจำเป็นจะต้องให้ค่ากับตัวอักษรจากคนที่ไม่รู้จักเรา และเราก็ไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ เขาไม่ได้มีความหมายเกี่ยวข้องกับชีวิตเราด้วยซ้ำ เราควรจะแคร์คนที่อยู่ในชีวิตจริง ๆ เรามากกว่า” พอร์ช กล่าว
“คำบูลลี่ของใครก็ไม่รู้ เราเห็นและเราอ่านประมาณ 80-90% ที่เข้ามาคอมเมนต์ ทั้งหยาบคาย ด่าทอ ประชดประชัน ไม่เข้าใจว่า ผู้ชายกับผู้ชายจะมาคุกเข่าขอแต่งงานกันเพื่ออะไร ไม่เข้าใจว่า คนเพศเดียวกันรักกันไปได้ยังไง ไม่เข้าว่า โลกนี้มันเกิดอะไรขึ้น ซึ่งมันเป็นคำบูลลี่ของยุคนั้น” อาม กล่าว
จากวันที่ขอแต่งงาน จนวันที่พวกเขาได้เข้าพิธีสมรสกันอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2568 ผ่านมาแล้ว 11 ปี คอมเมนต์เชิงเกลียดชังบนสังคมออนไลน์ ได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นคอมเมนต์ร่วมยินดีกับชีวิตคู่ สิ่งนี้ แสดงให้เห็นว่า สังคมเปลี่ยนมุมมองต่อคู่รัก LGBTQ ไปในทิศทางเชิงบวกมากขึ้น
“เมื่อศุกร์ (10 มกราคม) ที่ผ่านมา เรามีงานแต่งงานกันอย่างเป็นทางการ คำคอมเมนต์ต่าง ๆ ที่เห็นในโซเชียลมีเดีย แทบจะร้อยเปอร์เซนต์ เป็นคำคอมเมนต์ที่เขาเข้ามายินดีกับเรา มาอวยพรกับเรา เขามองเห็นภาพเปลี่ยนไปจากสมัยก่อนมาก ๆ” อาม กล่าว
“เราค่อย ๆ เห็นความเปลี่ยนแปลงของสังคม จากคอมเมนต์อะไรต่าง ๆ ก็เห็นไปในทิศทางที่เปิดกว้าง และโอบรับความหลากหลายมากขึ้น ยิ่งพอมีกฎหมายสมรสเท่าเทียมออกมา ผมมองว่า ทุกคนสามารถรักกันได้อย่างสบายใจว่า ทุกความรัก แม้กระทั่งกฎหมายของไทย ยังยอมรับว่า ทุกความรักมีคุณค่าเหมือนกัน” พอร์ช กล่าว
---23 ปีแห่งการต่อสู้ เพื่อความเท่าเทียม---
เส้นทางกว่าที่ไทยจะมีกฎหมายสมรสเท่าเทียม ต้องเดินฝ่าขวากหนามมากมาย หลายครั้งที่ร่างกฎหมายลักษณะนี้ ต้องถูกตีตกไป เป็นการเคลื่อนไหวที่ต่อสู้มาอย่างยาวนานถึง 23 ปี
จนกระทั่งวันที่ 18 มิถุนายน 2567 เสียงแห่งความยินดีร้องกึกก้องไปทั่วประเทศ เมื่อวุฒิสภามีมติเห็นชอบร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม วาระที่ 2-3 และต่อมาในวันที่ 24 กันยายน 2567 โปรดเกล้าฯ พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้มีผลบังใช้ภายในอีก 120 วัน ซึ่งวันนั้นก็คือ วันที่ 23 มกราคม 2568
“วันที่เราทราบว่า สมรสเท่าเทียมผ่านแล้ว เป็นวันที่เราอิ่มใจมากที่สุด” อาม กล่าว
“เรารู้สึกปลอดภัย และอิ่มใจว่า ต่อไปนี้ เราจะสร้างครอบครัวได้อย่างมั่นคงโดยที่มีกฎหมายคอยโอบอุ้มเราไว้แล้ว” พอร์ช กล่าว
“เราจะเป็นคู่สมรสอย่างถูกต้องตามกฎหมาย กฎหมายได้รองรับการมีตัวตน และความรักของเราแล้ว นั่นหมายความว่า แพลนในอนาคตของเราข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ มรดก การทำอะไรร่วมกัน หรือแม้กระทั่งสวัสดิการรักษาพยาบาล พวกเราจะมีความอุ่นใจมากขึ้น ชุมชน LGBTQ จะมีชีวิตคู่อย่างสมบูรณ์แบบ และอุ่นใจ มั่นใจ และปลอดภัยมากขึ้น เพราะมีกฎหมายนี้มารองรับอยู่” อาม กล่าว
“และกฎหมายไม่ได้ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” พอร์ช พูดปิดท้าย
---“สมรสเท่าเทียม” เปิดประตูสู่ กม.ขับเคลื่อนทางเพศ---
แม้กฎหมายสมรสเท่าเทียมจะผ่านแล้ว แต่หลายฝ่ายมองว่า นี่เป็นเพียงก้าวแรกของการขับเคลื่อนกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องเพศ เพราะยังมีกฎหมายอีกมากมายที่ต้องติดตามต่อในประเด็นความหลากหลายทางเพศ ไม่ว่าจะเป็น คำนำหน้า, การเลือกปฏิบัติ, การอุ้มบุญ และการใช้คำว่า “บุพการี” ในการรับเลี้ยงบุตรร่วมกัน เป็นต้น
“ผมมองว่า มันเป็นแค่ก้าวแรกของสิทธิที่ประชาชนไทยควรจะได้รับมาตั้งแต่เกิดด้วยซ้ำ จริง ๆ มันไม่ควรจะต้องมาเรียกร้องกันด้วยซ้ำ มันไม่ควรมีคำว่าเท่าเทียมด้วยซ้ำ เพราะคนเราเกิดมาเหมือนกัน มันควรจะได้อะไรภายใต้กฎหมายเดียวกัน ทีนี้ พอเราเกิดมา เราแตกต่างกัน ไม่มีใครเหมือนกัน เลยรู้สึกว่า กฎหมายควรที่จะออกแบบมาให้ดูแลความหลากหลายนี้ และไม่ทิ้งใครไ้ว้ข้างหลัง” พอร์ช กล่าว
“พอประตูบานแรกเปิดออกแล้ว ทุกคนได้เห็นเรามีตัวตน เราไม่ใช่บุคคลชายขอบอีกต่อไป เราก็มีสิทธิเท่าเทียมกับมนุษย์คนอื่น ๆ เรามีสิทธิเท่าเทียมกันกับพวกคุณเหล่านั้น” อาม กล่าว
จากจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ แม้ความเกลียดชัง และอคติทางเพศจะลดลงอย่างมากในสังคมไทย พร้อมกับเปิดกว้าง โอบอุ้มความหลากหลายมากขึ้น จนทั่วโลกมองว่า ไทยเป็นดินแดนสวรรค์สำหรับคนรักเพศเดียวกัน แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีสังคมบางส่วน ที่ไม่สามารถยอมรับความรักหลากหลายรูปแบบได้ ซึ่งสิ่งนี้ จำเป็นต้องใช้เวลาอีกสักพัก เพื่อให้คนเหล่านี้ได้เปิดใจโอบอ้อมความหลากหลายเพิ่มขึ้น
“ผมมั่นใจว่า ยังมีคนที่เขายังต้องใช้เวลากับการยอมรับ เพราะว่า ภาพที่เห็นกับสังคมที่เป็นไปตอนนี้ อาจจะขัดแย้งกับความเชื่อ และความรู้สึกที่เขาเติบโตมา ซึ่งเราไม่ว่ากัน เราเข้าใจความหลากหลายทางเพศ และความหลากหลายทางความคิดว่า คนเราไม่เหมือนกัน”
“แต่ผมขอว่า ให้เกียรติคนอื่นในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง อย่างที่ควรจะเป็นมากกว่า ว่าเราไม่ไปเปลี่ยนเขา เขาไม่มาเปลี่ยนเรา เราให้เกียรติกัน มีมารยาทต่อกัน ไม่ต้องรักเราก็ได้ แต่แค่ไม่ทำร้ายกันด้วยคำพูด ด้วยความรุนแรงแค่นั้นก็พอ” พอร์ช กล่าว
ที่มาข้อมูล : เรียบเรียง: พรวษา ภักตร์ดวงจันทร์
ที่มารูปภาพ : TNN Online