"ฉากต่อไป...กวาดล้างคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ เล็งปอยเปตเป็นเป้าหมายใหญ่"
การส่งชาวจีนกลับประเทศ 621 คน ผ่านสนามบินแม่สอดใน 3 วัน ถือเป็นความสำเร็จครั้งแรกของการปราบปรามคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ แต่นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้น เพราะรัฐบาลได้วางแผนปฏิบัติการต่อเนื่องไว้แล้ว
หลังจากประกาศ "พักการส่งกลับ 7 วัน" เพื่อเคลียร์ความเห็นต่างระหว่างไทย จีน และเมียนมา รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ส่ง พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ บินด่วนไปเจรจากับตำรวจกัมพูชา จนได้ข้อตกลงสำคัญ 3 ข้อ
สรุปข่าว
ข้อแรก ตำรวจทั้งสองประเทศจะร่วมกันบุกเข้าตรวจค้นจุดต้องสงสัย โดยเฉพาะอาคารสูง 25 ชั้นในฝั่งปอยเปต ที่เชื่อว่าเป็นที่ตั้งของขบวนการคอลเซ็นเตอร์รายใหญ่ หากพบคนไทยที่ถูกหลอกไปทำงาน จะรีบส่งตัวกลับประเทศทันที ส่วนผู้ต้องหาชาวไทยจะถูกส่งกลับมาดำเนินคดีที่เมืองไทย
ข้อสอง จะเร่งช่วยเหลือคนไทยที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ในกัมพูชา โดยจัดชุดสืบสวนพิเศษลงพื้นที่ค้นหาและช่วยเหลือ ซึ่งที่ผ่านมามีรายงานว่ามีคนไทยถูกหลอกไปทำงานในกัมพูชาจำนวนมาก
ข้อสาม จัดตั้ง "ศูนย์ประสานงานพิเศษ" ระหว่างตำรวจไทยและกัมพูชา เพื่อแชร์ข้อมูลข่าวกรองและสั่งการได้ทันที เมื่อพบเบาะแสการกระทำผิด โดยจะใช้มาตรการ "ตัดไฟ-เน็ต-น้ำมัน" แบบเดียวกับที่ทำสำเร็จในเมียนมา
ที่สำคัญ รัฐบาลกำลังสืบสวนขยายผลไปถึง "คนใหญ่คนโต" ที่อยู่เบื้องหลัง ทั้งข้าราชการและนักธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนเรียกร้องมากที่สุด จากผลโพลล่าสุดที่มีถึง 61% สนับสนุนให้จัดการกับคนกลุ่มนี้
แต่ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดคือ ทำอย่างไรไม่ให้พวกนี้ย้ายฐานหนีไปที่อื่น เพราะพื้นที่ชายแดนมีช่องโหว่มากมาย รัฐบาลจึงต้องประสานกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งหมด ทั้งเมียนมา ลาว และกัมพูชา เพื่อปิดทุกช่องทางการหลบหนี
สุดท้าย ความสำเร็จของปฏิบัติการครั้งนี้จะวัดกันที่ "ความยั่งยืน" คือต้องทำให้ขบวนการคอลเซ็นเตอร์หมดไปจริงๆ ไม่ใช่แค่ย้ายที่หรือเปลี่ยนรูปแบบ และต้องจับคนผิดมาลงโทษให้ได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม