ใครคือเหยื่อตัวจริง? ในขบวนการค้ามนุษย์

ท่ามกลางกระแสการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่แพร่ระบาดไปทั่วโลก การจับกุมผู้ต้องสงสัย 260 คนในประเทศไทย กลายเป็นประเด็นร้อน เมื่อพบว่าผู้ต้องหาส่วนใหญ่ อ้างตัวว่าเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกดำเนินคดี ปรากฏการณ์นี้สะท้อนถึงความท้าทายสำคัญในการคัดแยกผู้เสียหายที่แท้จริง เจ้าหน้าที่ต้องเผชิญกับคำถามว่า "ใครกันแน่คือเหยื่อ?" และ "ใครกำลังใช้คำว่าเหยื่อเป็นเกราะกำบัง?"

การค้ามนุษย์คืออะไร?

การค้ามนุษย์เป็นอาชญากรรมร้ายแรงที่เกี่ยวข้องกับการจัดหา ลักลอบนำเข้า ส่งต่อ หรือควบคุมบุคคลเพื่อแสวงหาผลประโยชน์อย่างผิดกฎหมาย โดยกระบวนการนี้มักเกิดขึ้นผ่านวิธีการหลอกลวง ข่มขู่ ใช้กำลัง หรือบังคับขู่เข็ญ เหยื่อของการค้ามนุษย์อาจถูกนำไปแสวงหาผลประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ เช่น ค้าประเวณี บังคับใช้แรงงาน ขอทาน หรือแม้แต่การบังคับตัดอวัยวะเพื่อการค้า อุตสาหกรรมเหล่านี้มักถูกควบคุมโดยองค์กรอาชญากรรมที่ใช้กลวิธีซับซ้อนเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับกุม

องค์ประกอบสำคัญของการค้ามนุษย์มีสามส่วนหลัก ได้แก่ การกระทำ (เช่น การพาไป ขาย กักขัง หรือบังคับให้ทำงาน) วิธีการ (เช่น การข่มขู่ หลอกลวง หรือใช้กำลังบังคับ) และ จุดมุ่งหมาย (เช่น การแสวงหาผลประโยชน์จากแรงงานหรือการค้าประเวณี) ซึ่งแตกต่างจากการลักลอบขนคนเข้าเมืองที่บุคคลสมัครใจเดินทางไปยังประเทศอื่นโดยผิดกฎหมายเพื่อแสวงหาโอกาสทางเศรษฐกิจ ขณะที่การค้ามนุษย์เกี่ยวข้องกับการบังคับหรือแสวงหาผลประโยชน์จากบุคคลโดยไม่สมัครใจ 

ด้วยเหตุนี้ การคัดแยกเหยื่อจากผู้ที่ลักลอบเข้าเมืองจึงเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องใช้การสืบสวนอย่างละเอียดเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง

สถานการณ์ปัจจุบัน ใครคือเหยื่อตัวจริง?

พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รองผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เปิดเผยว่า จากผู้ต้องสงสัยทั้งหมด 260 คน มีเพียง 4-5 รายเท่านั้นที่เป็นเหยื่อการค้ามนุษย์จริงๆ ที่เหลือคือผู้ที่สมัครใจเข้าร่วมขบวนการ แต่เมื่อถูกจับกุมกลับ อ้างว่าถูกบังคับ เพื่อหลีกเลี่ยงโทษ

การเปิดโปงครั้งนี้สะท้อนว่า "เหยื่อ" ในคดีค้ามนุษย์ไม่สามารถนิยามได้จากคำให้การของบุคคลเพียงอย่างเดียว การคัดแยกต้องอาศัยหลักฐานทางกายภาพ การตรวจสอบพฤติกรรม และการสืบสวนที่แม่นยำ

รูปแบบการสร้างเรื่อง เมื่อคำโกหกถูกใช้เป็นโล่กำบัง

เจ้าหน้าที่พบว่าผู้ต้องหาส่วนใหญ่ใช้ รูปแบบการสร้างเรื่องที่คล้ายกัน พวกเขามักอ้างว่า ถูกล่อลวง ถูกบังคับ หรือถูกข่มขู่ ตัวอย่างเช่น ชายชาวแอฟริกันคนหนึ่งที่ทำงานเป็นสแกมเมอร์นานกว่า 1 ปี อ้างว่าถูก "มอมยาที่สนามบินสุวรรณภูมิและถูกพาไปพม่า" แต่เมื่อตรวจสอบกลับพบว่าเขา เดินทางไปเองโดยสมัครใจ

กรณีอื่นๆ เช่น กลุ่มชาวญี่ปุ่น 4 คนที่อ้างว่าถูกค้ามนุษย์ แต่กล้องวงจรปิดเผยให้เห็นว่าพวกเขา แช่ออนเซ็นและใช้บริการนวดแผนไทยที่แม่สอดก่อนข้ามพรมแดน ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ขัดแย้งกับการเป็นเหยื่อที่ถูกบังคับ

🔶 หม่อง ชิตตู่ พร้อมพิสูจน์ ลุยกวาดล้างคอลฯ หมดภายในเดือนนี้

กระบวนการคัดแยกผู้เสียหาย NRM กับภารกิจแยกแยะความจริง

เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ที่อ้างว่าเป็นเหยื่อเป็นเหยื่อจริง ตำรวจใช้ กลไกการส่งต่อระดับชาติ (National Referral Mechanism - NRM) ซึ่งเป็นระบบที่มีทีมสหวิชาชีพทำงานร่วมกัน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยใช้

  • กล้องวงจรปิด และ บันทึกการเดินทาง
  • ข้อมูลจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
  • พฤติกรรมของผู้ต้องสงสัยก่อนและหลังการเดินทาง
ใครคือเหยื่อตัวจริง? ในขบวนการค้ามนุษย์

สรุปข่าว

พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รองผบช.สอท. เปิดเผยผลการคัดแยกผู้ต้องหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 260 คน พบเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์จริงเพียง 4-5 ราย ส่วนใหญ่สมัครใจร่วมกระทำผิด แต่พยายามอ้างเป็นเหยื่อเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกดำเนินคดี เจ้าหน้าที่ใช้ระบบ NRM และทีมสหวิชาชีพในการคัดกรอง พร้อมตรวจสอบหลักฐานอย่างละเอียดเพื่อแยกแยะความจริง

นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ต้องวิเคราะห์คำให้การของแต่ละคน เพื่อดูว่ามีข้อขัดแย้งหรือไม่ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน เพราะ ผู้ต้องหาหลายคนมีประสบการณ์ด้านการโกหกและโน้มน้าวผู้อื่นอยู่แล้ว

ความท้าทายในการสืบสวน เมื่อสแกมเมอร์แสร้งเป็นเหยื่อ

ปัญหาหลักที่เจ้าหน้าที่ต้องเผชิญคือ ผู้ต้องสงสัยเหล่านี้เคยเป็นสแกมเมอร์ และมี ทักษะการหลอกลวงสูง พวกเขารู้ว่าการใช้คำว่า "เหยื่อ" จะทำให้ได้รับความเห็นใจ และอาจหลีกเลี่ยงโทษทางกฎหมายได้

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ บางคนถึงกับร้องไห้และเล่าเรื่องราวที่น่าสงสาร ขณะที่หลักฐานชี้ชัดว่าพวกเขาเดินทางไปทำงานในฐานะส่วนหนึ่งของเครือข่ายมิจฉาชีพ นี่ไม่ใช่การค้ามนุษย์ในรูปแบบทั่วไป แต่เป็นการใช้สถานะเหยื่อ เพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงและเอาตัวรอด

ผลกระทบต่อสังคม เมื่อมิจฉาชีพใช้ "เหยื่อ" เป็นเครื่องมือ

เมื่อผู้กระทำผิดพยายามแสร้งเป็นเหยื่อ ผลกระทบที่ตามมามีมากกว่าที่คิด

  • กระบวนการยุติธรรมเสียหาย – ถ้าอาชญากรสามารถใช้ช่องโหว่เพื่อหลีกเลี่ยงโทษ คนร้ายตัวจริงจะไม่ถูกลงโทษ และอาจกลับมาก่อเหตุอีก
  • ทรัพยากรถูกใช้ไปอย่างสูญเปล่า – เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลาและทรัพยากรจำนวนมากในการคัดแยกคนที่อ้างว่าเป็นเหยื่อ ซึ่งอาจทำให้เหยื่อที่แท้จริงไม่ได้รับความช่วยเหลือ
  • ทำลายความน่าเชื่อถือของระบบช่วยเหลือเหยื่อ – หากสังคมเริ่มมองว่า "เหยื่อ" อาจเป็นผู้กระทำผิด อาจทำให้ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือจริงๆ ไม่ได้รับการช่วยเหลือ

แนวทางแก้ไข วิธีป้องกันการใช้ "เหยื่อ" เป็นเกราะกำบัง

  • เพื่อป้องกันไม่ให้อาชญากรใช้คำว่า "เหยื่อ" เป็นเครื่องมือ เจ้าหน้าที่ได้กำหนดแนวทางการคัดแยกที่เข้มงวดขึ้น เช่น
  • ตรวจสอบข้อมูลหลักฐานอย่างละเอียด – ใช้ กล้องวงจรปิด บันทึกการเดินทาง และข้อมูลทางการเงิน
  • ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ให้ตรวจจับการโกหก – ใช้เทคนิคด้านจิตวิทยาและการสืบสวนสอบสวน
  • เพิ่มบทลงโทษสำหรับผู้ที่แสร้งเป็นเหยื่อ – หากพบว่าโกหก ควรมีโทษเพิ่มขึ้น เช่น การจำคุกหรือค่าปรับที่สูงขึ้น
  • ให้ความรู้ประชาชน – สร้างความเข้าใจว่า "ไม่ใช่ทุกคนที่อ้างว่าเป็นเหยื่อ จะเป็นเหยื่อจริง"


🔶 คอลเซ็นเตอร์สูญพันธุ์? ไทย-จีบ จับมือ ปิดทางมิจฉาชีพ

เราควรช่วยใคร และใครไม่ควรได้รับความช่วยเหลือ?

กรณีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า การค้ามนุษย์ไม่ใช่เรื่องขาวดำ มีทั้งคนที่เป็นเหยื่อจริง และคนที่ใช้คำว่า "เหยื่อ" เพื่อหลีกเลี่ยงความผิด การช่วยเหลือเหยื่อเป็นสิ่งสำคัญ แต่เราต้องแน่ใจว่า "ช่วยคนที่ถูกต้อง"

การคัดแยกเหยื่อต้องอาศัย หลักฐาน ข้อมูล และการสืบสวนที่แม่นยำ ไม่ใช่การตัดสินจากคำให้การเพียงอย่างเดียว หากปล่อยให้มิจฉาชีพใช้คำว่า "เหยื่อ" เป็นเกราะกำบัง อาจทำให้ระบบยุติธรรมถูกบิดเบือน และสร้างอาชญากรรมในสังคมมากขึ้น

แล้วคุณล่ะ คิดว่าเราควรช่วยเหลือใคร? และ จะทำอย่างไรให้คำว่า "เหยื่อ" ไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือของมิจฉาชีพ?



อ่านบทความที่เกี่ยวข้องที่นี่

🔶คอลเซ็นเตอร์สูญพันธุ์? ไทย-จีบ จับมือ ปิดทางมิจฉาชีพ
🔶หม่อง ชิตตู่ พร้อมพิสูจน์ ลุยกวาดล้างคอลฯ หมดภายในเดือนนี้
🔶แผนลับปราบแก๊งคอลฯ จีนประกบ 'หม่อง ชิตตู่' ล้างบัญชีดำเมียวดี