คดีฮั้วเลือกสว.ปี 67 ดีเอสไอจะรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่?

"กระบวนการยุติธรรม" กับ "เกมการเมือง" กำลังถูกทดสอบอีกครั้งในสังคมไทย เมื่อเรื่องใหญ่อย่างการตรวจสอบ "การฮั้วเลือกสว." ถูกนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์นี้ การตัดสินใจครั้งนี้ไม่เพียงส่งผลต่อกระบวนการสอบสวน แต่ยังสะท้อนความขัดแย้งเชิงอำนาจในระบบการเมืองไทย

จับตาการโหวต 2 ใน 3 ของ "บอร์ดคดีพิเศษ"

วงประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) วันอังคาร (25 ก.พ.) เวลา 13.30 น. ที่ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม จะเป็นสนามแห่งการตัดสินใจที่สำคัญ โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธาน และพันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม เป็นรองประธาน

ตามระเบียบวาระการประชุม ดีเอสไอได้บรรจุเรื่องสืบสวนที่ 151/2567 "กรณีร้องขอให้ตรวจสอบกระบวนการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567" เข้าสู่การพิจารณา โดยต้องใช้มติเสียง "ไม่น้อยกว่า 2 ใน 3" ของกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (2) แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ

สิ่งที่น่าสนใจคือองค์ประกอบของคณะกรรมการ 22 คน ซึ่งเป็นตัวแทนจากหน่วยงานระดับสูงทั้งฝ่ายบริหารและกระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่ปลัดกระทรวงยุติธรรม ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงมหาดไทย อัยการสูงสุด ผบ.ตร. ไปจนถึงผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ทำให้เราต้องถามว่า: "แรงกดดันทางการเมืองจะมีผลต่อการลงมติหรือไม่?"

คดีฮั้วเลือกสว.ปี 67 ดีเอสไอจะรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่?

สรุปข่าว

บทวิเคราะห์คดีฮั้วเลือกสว.ปี 67 ก่อนถึงการลงมติรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่ของดีเอสไอ เปิดเอกสารลับพบโพยฮั้วเลือกตั้ง 138 คนตรงกับสว.ที่ได้รับเลือก ท่ามกลางข้อขัดแย้งเรื่องอำนาจหน้าที่ระหว่างดีเอสไอกับกกต. และผลกระทบต่อวงการเมืองไทย

เปิดเอกสารลับ พบหลักฐานการฮั้วที่น่าตกใจ?

จากเอกสารลับที่ถูกเปิดเผย ดีเอสไอระบุว่าพบ "ขบวนการในรูปแบบคณะบุคคล" ที่มีเครือข่ายซึ่งปกปิดวิธีการ มีการวางแผนอย่างสลับซับซ้อน โดยจัดการให้มีผู้สมัครในระดับอำเภอ จังหวัด และระดับประเทศ มีการจ่ายค่าตอบแทนตั้งแต่ 5,000 บาท ไปจนถึง 100,000 บาท

ที่น่าสนใจคือการค้นพบ "โพยฮั้ว" จำนวน 2 ชุด ที่ระบุหมายเลขผู้สมัครกลุ่มละ 7 คน รวม 140 คน และผลการเลือกสว.ในรอบเช้าและรอบไขว้ "เป็นไปตามโพยฮั้วทุกประการ" โดยพบว่าสมาชิกวุฒิสภาที่ได้รับเลือกจำนวน 138 คน มีชื่ออยู่ในโพยฮั้ว และมีอีก 2 คนอยู่ในลำดับสำรอง

มีการจัดทำโพยฮั้วในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี และนครนายก มีการจ่ายเงินมัดจำ 20,000 บาท และจะจ่ายที่เหลือหลังจาก กกต. รับรองผล รวมถึงการแจกเสื้อสีเหลืองและจัดรถตู้นำผู้สมัครไปเมืองทองธานี

คำถามที่ต้องตั้งคือ: หากข้อมูลเหล่านี้เป็นจริง เราจะเชื่อมั่นในความชอบธรรมของสว.ชุดนี้ได้อย่างไร? และกระบวนการยุติธรรมจะตรวจสอบข้อเท็จจริงเหล่านี้ได้อย่างเป็นอิสระหรือไม่?

ใครมีอำนาจสอบสวน: "ดีเอสไอ" หรือ "กกต."?

ประเด็นข้อขัดแย้งสำคัญเกิดขึ้นเมื่อนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ออกมายืนยันว่าดีเอสไอไม่มีอำนาจในการตรวจสอบเรื่องนี้ เพราะเป็นอำนาจหน้าที่ของ กกต. พร้อมระบุว่า "สว.เข้ามาอย่างถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ตามเงื่อนไขและระเบียบที่กกต.กำหนด"

ในขณะที่ดีเอสไอชี้แจงว่าการกระทำนี้อาจเข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 209 (ความผิดฐานอั้งยี่) และความผิดฐานฟอกเงิน

ดีเอสไอยังอ้างว่า "ในการดำเนินการกับขบวนการดังกล่าว จึงต้องใช้วิธีการสืบสวนสอบสวนเป็นพิเศษ" เนื่องจากมีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรม มีการแบ่งแยกหน้าที่ มีฝ่ายไอทีเตรียมโปรแกรมคำนวณคะแนน

ประเด็นนี้ทำให้เกิดคำถามว่า: ในระบบกฎหมายไทย ใครควรเป็นผู้มีอำนาจสอบสวนคดีที่มีทั้งมิติทางการเลือกตั้งและมิติทางอาญา? และจะมั่นใจได้อย่างไรว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบสามารถทำงานได้อย่างอิสระโดยปราศจากการแทรกแซง?

ที่มากับที่ไปของความขัดแย้ง มากกว่าเรื่องกฎหมาย

การอ้างอิงถึง "วิกฤตรัฐธรรมนูญ" จากพลเอกเกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภาคนที่หนึ่ง และการกล่าวถึง "กระบวนการจัดตั้งเพื่อนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญในวิธีการฉ้อฉล" โดยพันตำรวจเอกกอบ อัจนากิตติ สว. สะท้อนให้เห็นว่า ความขัดแย้งนี้มีมากกว่าแค่เรื่องของกฎหมาย แต่เป็นการต่อสู้เชิงอำนาจในระบบการเมือง

"ขณะนี้มีกระบวนการจัดตั้งเพื่อนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ... เป็นการกระทำที่ปกติวิสัยฉ้อฉล บิดเบือนกฎหมาย" เป็นคำกล่าวที่แสดงให้เห็นว่าฝ่ายวุฒิสภามองว่าการตรวจสอบนี้เป็นส่วนหนึ่งของเกมการเมืองที่มีเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจ


ในขณะที่ดีเอสไอระบุว่าขบวนการนี้ "มุ่งหวังเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจนิติบัญญัติ" และมีการ "กระทำการอุกอาจมิได้เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง"

เราต้องถามว่า: เมื่อความขัดแย้งทางการเมืองมาถึงจุดนี้ กระบวนการยุติธรรมจะยังรักษาความเป็นกลางและความน่าเชื่อถือได้หรือไม่? และประชาชนจะได้รับความจริงหรือเพียงแค่ข้อมูลที่ถูกคัดกรองตามผลประโยชน์ทางการเมือง?

จุดยืนสำคัญ กระบวนการยุติธรรมที่เป็นอิสระหรือเครื่องมือทางการเมือง?

การตัดสินใจในวันที่ 25 กุมภาพันธ์นี้ จึงไม่ใช่แค่เรื่องการรับหรือไม่รับเป็นคดีพิเศษ แต่เป็นการแสดงจุดยืนว่าสังคมไทยจะให้ความสำคัญกับความเป็นอิสระของกระบวนการยุติธรรมหรือจะยอมให้เป็นเครื่องมือทางการเมือง

คำถามที่เราทุกคนต้องร่วมกันคิดคือ: เราต้องการเห็นความจริงที่ไม่บิดเบือน หรือต้องการเห็นการใช้กระบวนการยุติธรรมเพื่อเป้าหมายทางการเมือง? และในระยะยาว การใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือทางการเมืองจะส่งผลอย่างไรต่อความเชื่อมั่นของประชาชน?

ไม่ว่าผลการลงมติจะออกมาอย่างไร สิ่งสำคัญที่สุดคือความโปร่งใสและความเป็นธรรมของกระบวนการ ไม่ใช่ว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ชนะ แต่เป็นการค้นหาความจริงเพื่อประโยชน์ของประชาชนและเพื่อธำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมที่แท้จริง

ที่มาข้อมูล : TNN เรียบเรียง

ที่มารูปภาพ : Freepik / DSI