
เมื่อภัยบุหรี่ไฟฟ้าและน้ำกระท่อมคุกคามนักเรียนประถมและมัธยมต้น
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ สร้างความตื่นตระหนกให้กับสังคม เมื่อมีนักเรียนระดับชั้น ป.5, ป.6 และ ม.2 ถูกหามส่งโรงพยาบาล เนื่องจากอาการอาเจียน แน่นหน้าอก ซึ่งมีสาเหตุมาจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้าและดื่มน้ำกระท่อม หนึ่งในนั้นหมดสติจนต้องได้รับการช่วยชีวิต นี่ไม่ใช่เหตุการณ์แรก และอาจไม่ใช่เหตุการณ์สุดท้ายที่เกิดขึ้นในหมู่นักเรียนวัยประถมและมัธยมต้น
สิ่งที่น่ากังวลคือ ทำไมเด็กวัยเพียง 10-14 ปี จึงสามารถเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าได้อย่างง่ายดาย ทั้งที่เป็นสินค้าผิดกฎหมายในประเทศไทย ปัญหานี้ไม่ได้เกิดจากพฤติกรรมของเด็กเพียงอย่างเดียว แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับ กฎหมาย การบังคับใช้ เทคโนโลยี การศึกษา และสภาพสังคม ที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
บุหรี่ไฟฟ้าแพร่กระจายผ่านช่องทางออนไลน์ เด็กเข้าถึงง่ายเกินไป
แม้บุหรี่ไฟฟ้าจะเป็นสินค้าผิดกฎหมายในประเทศไทย แต่ในยุคดิจิทัลกลับพบว่าการซื้อขายผ่าน โซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มออนไลน์ เป็นไปอย่างแพร่หลาย ผู้ค้าหลายรายโฆษณาบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าทางเลือกที่ "ปลอดภัยกว่าบุหรี่ธรรมดา" ทำให้เด็กและเยาวชนเกิดความเข้าใจผิด
เด็กนักเรียนระดับประถมและมัธยมต้นสามารถเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าได้ง่าย เพียงแค่ใช้โทรศัพท์มือถือค้นหาและสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ โดยเฉพาะการซื้อขายแบบ "ส่งตรงถึงบ้าน" ผ่านบริการจัดส่งพัสดุ ทำให้ผู้ปกครองไม่สามารถควบคุมได้ เด็กบางคนใช้ บัญชีของพ่อแม่หรือผู้ปกครอง ในการสั่งซื้อ โดยร้านค้าหลายแห่งไม่ตรวจสอบอายุของผู้ซื้ออย่างจริงจัง

สรุปข่าว
ช่องโหว่ทางกฎหมายและการบังคับใช้ที่ล้มเหลว
แม้ว่าประเทศไทยจะมี กฎหมายห้ามนำเข้าและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า แต่การบังคับใช้กลับไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ แหล่งจำหน่ายทั้งใต้ดินและออนไลน์ยังคงดำเนินการได้อย่างอิสระ ขณะที่การกวาดล้างจับกุมยังคงเป็นเพียงมาตรการชั่วคราว ไม่สามารถแก้ปัญหาในระยะยาว
ร้านค้ารายย่อยที่ขายบุหรี่ไฟฟ้าในพื้นที่ใกล้โรงเรียน ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้เด็กเข้าถึงได้ง่ายขึ้น หลายครั้งผู้ขายเองไม่ได้ตระหนักถึงผลกระทบต่อเยาวชน หรือมองข้ามเพียงเพราะผลกำไร สิ่งนี้สะท้อนถึงความจำเป็นที่ ภาครัฐต้องมีมาตรการที่เข้มงวดและต่อเนื่อง ในการปราบปรามการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าให้กับเด็กและเยาวชน
ครอบครัวและโรงเรียน กลไกป้องกันที่ยังมีช่องว่าง
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้เด็กระดับ ป.5-ม.2 ลองสูบบุหรี่ไฟฟ้าและดื่มน้ำกระท่อม คือการขาดการควบคุมจาก ครอบครัวและโรงเรียน หลายกรณีผู้ปกครอง ไม่รู้ว่าลูกหลานกำลังเสี่ยงกับสารเสพติด เนื่องจากเด็กอาศัยอยู่กับปู่ย่าตายาย หรืออยู่ในครอบครัวที่พ่อแม่ต้องทำงานนอกบ้าน
ในขณะเดียวกัน โรงเรียนเองก็ยังไม่มีมาตรการเฝ้าระวังที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ครูอาจตรวจพบพฤติกรรมผิดปกติของเด็กบางคน แต่ด้วยจำนวนนักเรียนที่มาก ทำให้ไม่สามารถติดตามพฤติกรรมของทุกคนได้อย่างใกล้ชิด บางโรงเรียนอาจมีโครงการรณรงค์เกี่ยวกับอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าและยาเสพติด แต่ขาดความต่อเนื่อง หรือไม่มีวิธีการที่สามารถเข้าถึงจิตใจของเด็กได้จริง
ค่านิยมและแรงกดดันจากเพื่อน สู่พฤติกรรมเลียนแบบ
เด็กวัยประถมปลายและมัธยมต้นเป็นวัยที่ต้องการการยอมรับจากเพื่อน การที่เด็กคนหนึ่งเริ่มสูบบุหรี่ไฟฟ้าหรือดื่มน้ำกระท่อม มักไม่ได้เกิดจากความอยากรู้อยากลองเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากแรงกดดันทางสังคม ภายในกลุ่มเพื่อน
หลายกรณีพบว่า เด็กสูบบุหรี่ไฟฟ้าตั้งแต่ ป.4-ป.5 เพราะเห็นเพื่อนทำและไม่อยากถูกมองว่า "เชย" หรือ "อ่อน" นี่คือพฤติกรรมการเลียนแบบที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และเป็นเรื่องยากที่ครอบครัวและโรงเรียนจะเข้าไปแก้ไข หากไม่มีมาตรการทางสังคมที่ชัดเจน
ทางออก ปรับกลยุทธ์ป้องกันและปราบปรามให้ได้ผลจริง
การแก้ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเด็กนักเรียนประถมและมัธยมต้น ต้องใช้มาตรการเชิงรุกและเป็นระบบ โดยครอบคลุมทั้งด้านกฎหมาย การบังคับใช้ การศึกษา และการมีส่วนร่วมของชุมชน
- ควบคุมการขายบุหรี่ไฟฟ้าออนไลน์อย่างเข้มงวด – รัฐบาลต้องเร่งปิดกั้นช่องทางซื้อขายออนไลน์ที่ขายบุหรี่ไฟฟ้าให้กับเด็ก และใช้เทคโนโลยีในการตรวจสอบแพลตฟอร์มที่ละเมิดกฎหมาย
- เพิ่มบทลงโทษแก่ผู้ขายที่จำหน่ายให้เด็ก – ควรมีกฎหมายที่กำหนดโทษหนักสำหรับผู้ที่ขายบุหรี่ไฟฟ้าให้กับเยาวชน
- สร้างระบบเฝ้าระวังในโรงเรียน – ควรมีโปรแกรมตรวจสุขภาพหรือเฝ้าระวังพฤติกรรมเสี่ยงของนักเรียนเป็นระยะ และให้ความรู้เกี่ยวกับพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้าในรูปแบบที่เข้าถึงเด็กได้ง่าย
- เสริมสร้างความเข้มแข็งให้ครอบครัว – ผู้ปกครองต้องได้รับข้อมูลและแนวทางในการป้องกันลูกหลานจากสิ่งเสพติด ผ่านการอบรมหรือสื่อประชาสัมพันธ์จากภาครัฐ
อย่าปล่อยให้ปัญหานี้เป็นเพียงข่าวที่ถูกลืม
กรณีของเด็ก ป.5-ม.2 ที่ต้องเข้าโรงพยาบาลจากบุหรี่ไฟฟ้าและน้ำกระท่อมเป็นเพียง สัญญาณเตือนภัย ที่สะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของสังคมไทย หากไม่มีมาตรการป้องกันที่จริงจัง เหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ร้ายแรงกว่านี้
เราจะปล่อยให้เด็กไทยตกเป็นเหยื่อของสารเสพติดต่อไป หรือจะเริ่มต้นแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง?
ที่มาข้อมูล : TNN
ที่มารูปภาพ : TNN / Freepik