DSI สอบ สว.2567: แค่ทุจริตเลือกตั้ง หรือกระทบความมั่นคง?

สว. 2567 ความชอบธรรมที่ถูกตั้งคำถาม

การตรวจสอบที่มาของสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ชุดปี 2567 กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนที่ส่งแรงสั่นสะเทือน เมื่อทั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต่างเข้ามามีบทบาทในการตรวจสอบข้อร้องเรียนที่ว่าด้วยความไม่ชอบธรรมในกระบวนการได้มาซึ่ง สว. ชุดนี้ ท่ามกลางความสงสัยของสังคมว่า "ทำไมต้องมีถึงสององค์กรในการตรวจสอบ?"

สิ่งที่น่าสนใจไม่ใช่แค่ประเด็นการตรวจสอบเท่านั้น แต่คือการที่ DSI เข้ามามีบทบาทในคดีนี้ด้วย ทั้งที่โดยปกติแล้ว การตรวจสอบการเลือกตั้งเป็นอำนาจหน้าที่ของ กกต. โดยตรง การที่ DSI หยิบยกมาตรา 116 ของประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของรัฐมาใช้ในการสอบสวน สะท้อนให้เห็นว่าคดีนี้อาจมีความซับซ้อนและส่งผลกระทบในวงกว้างมากกว่าที่หลายคนคาดคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของความมั่นคงทางการเมืองของประเทศ

ย้อนกลับไปมองที่จุดเริ่มต้นของปัญหา ระบบการได้มาซึ่ง สว. ของไทยมีลักษณะพิเศษที่แตกต่างจากหลายประเทศ นั่นคือการใช้ระบบ "เลือกกันเอง" ระหว่างกลุ่มวิชาชีพ แทนที่จะเป็นการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน ระบบนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ได้ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขา แต่ในทางปฏิบัติกลับถูกวิพากษ์วิจารณ์มาโดยตลอดว่าเปิดช่องให้เกิดการแทรกแซงจากกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง การซื้อเสียง และการใช้อิทธิพลในรูปแบบต่างๆ


DSI สอบ สว.2567: แค่ทุจริตเลือกตั้ง หรือกระทบความมั่นคง?

สรุปข่าว

วิเคราะห์เจาะลึกปมร้อนการตรวจสอบที่มาของ สว.2567 เมื่อ DSI และ กกต. ร่วมสอบสวนคดีที่อาจไม่ใช่แค่ทุจริตเลือกตั้งธรรมดา แต่อาจส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ

จากข้อมูลที่ปรากฏต่อสาธารณะ มีแนวโน้มว่า กกต. อาจชี้มูลความผิดของ สว. จำนวนไม่น้อย ซึ่งอาจนำไปสู่การเพิกถอนสถานภาพความเป็น สว. หรือแม้กระทั่งการดำเนินคดีตามกฎหมาย หากสถานการณ์เป็นเช่นนั้นจริง ย่อมส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความเชื่อมั่นในระบบการได้มาซึ่ง สว. ทั้งระบบ และอาจนำไปสู่การทบทวนระบบการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาครั้งใหญ่

ประเด็นที่น่าจับตามองในคดีนี้คือการที่ DSI เลือกใช้มาตรา 116 แห่งประมวลกฎหมายอาญาซึ่งเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของรัฐ มาเป็นฐานในการสอบสวน ทั้งที่โดยปกติแล้วการทุจริตเลือกตั้งมักจะใช้เพียงพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง การที่ DSI ยกระดับเป็นคดีความมั่นคงเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นว่าอาจมีการกระทำความผิดที่เป็นขบวนการใหญ่ มีการวางแผนอย่างเป็นระบบ และอาจเกี่ยวพันกับผู้มีอำนาจหรือเครือข่ายการเมืองระดับสูง เพราะการจะสร้างอิทธิพลให้ครอบคลุมการเลือก สว. ทั้งระบบนั้น ย่อมต้องใช้ทรัพยากร เครือข่าย และการวางแผนที่ซับซ้อนเกินกว่าจะเป็นการกระทำของกลุ่มบุคคลเพียงไม่กี่คน? 

หากมองในแง่บวก การตรวจสอบครั้งนี้อาจนำไปสู่การพัฒนาระบบการได้มาซึ่ง สว. ให้มีความโปร่งใสมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบ การปรับปรุงกระบวนการสรรหา หรือแม้กระทั่งการพิจารณาเปลี่ยนไปใช้ระบบการเลือกตั้งโดยตรงเหมือนหลายประเทศ ที่สำคัญคือการสร้างระบบที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และสอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

คดีนี้จึงไม่ใช่แค่การตรวจสอบความผิดปกติในการเลือกตั้งธรรมดา แต่อาจเป็นโอกาสสำคัญในการพัฒนาระบบการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาให้มีความโปร่งใสและเป็นที่ยอมรับของสังคมมากขึ้น เพื่อให้วุฒิสภาสามารถทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นที่เชื่อถือของประชาชน...

ที่มาข้อมูล : TNN รวบรวม / เรียงเรียง

ที่มารูปภาพ : DSI