ตัดไฟดับแก๊งคอลฯ ได้จริงหรือ? เดิมพันความมั่นคงชายแดนไทย-เมียนมา

วิเคราะห์เจาะลึก: การตัดไฟชายแดนเมียนมา แก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้จริงหรือ?

มาตรการที่เป็นเดิมพันของความมั่นคง

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมไซเบอร์ได้สร้างความเสียหายมหาศาลแก่ประชาชนไทย โดยมีฐานปฏิบัติการอยู่ในพื้นที่ชายแดนเมียนมา ล่าสุด รัฐบาลไทย โดยสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้มีการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาการตัดไฟในพื้นที่ต้องสงสัย เช่น ชเวโก๊กโก่ และ เคเคพาร์ค ซึ่งมีรายงานว่าเป็นศูนย์กลางของขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ

ข้อมูลล่าสุด ระบุว่า ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565 ถึงมิถุนายน 2567 มีการแจ้งความออนไลน์เกี่ยวกับอาชญากรรมไซเบอร์ทั้งหมด 575,507 เรื่อง คิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 65,715 ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณ 80 ล้านบาทต่อวัน โดยเหยื่อส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงวัยทำงาน อายุระหว่าง 30-60 ปี ซึ่งมีจำนวนคดีสูงถึง 248,800 คดี

- ประเภทคดีออนไลน์ที่มีการแจ้งความมากที่สุด 5 อันดับแรก - 

หลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ (ไม่เป็นขบวนการ) มูลค่าความเสียหาย 4,720,471,220 บาท

หลอกให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ มูลค่าความเสียหาย 11,349,462,554 บาท

หลอกให้กู้เงิน มูลค่าความเสียหาย 3,424,266,215 บาท

หลอกให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ มูลค่าความเสียหาย 26,899,292,582 บาท

ข่มขู่ทางโทรศัพท์ (แก๊งคอลเซ็นเตอร์) มูลค่าความเสียหาย 10,059,145,081 บาท

นอกจากนี้ มีรายงานล่าสุดเกี่ยวกับการปราบปรามเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา โดยเจ้าหน้าที่ได้บุกจับกุมเครือข่ายที่ปฏิบัติการจากอาคาร 18 ชั้น พบว่าสมาชิกมีทั้งคนจีน อินโดนีเซีย อินเดีย และมาเลเซีย ซึ่งลวงเหยื่อไปแล้วกว่า 163 ราย โดยบางคนถูกบังคับให้ทำงานและถูกทำร้ายร่างกายหากไม่เชื่อฟัง ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นว่าขบวนการเหล่านี้มีโครงสร้างที่ซับซ้อน และสามารถย้ายฐานปฏิบัติการข้ามประเทศได้อย่างรวดเร็ว

ขณะเดียวกัน ทางตำรวจไซเบอร์ของไทยได้ดำเนินการตามยึดอุปกรณ์สื่อสารที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมียวดี และพบว่ามีการพยายามเคลื่อนย้ายฐานปฏิบัติการไปยังประเทศกัมพูชา โดยตรวจยึดอุปกรณ์สำคัญจำนวนมากที่ใช้ในการปฏิบัติการหลอกลวง เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ และซิมการ์ดจากบริษัทขนส่งเอกชน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของขบวนการเหล่านี้ และความสามารถในการปรับตัวเมื่อถูกกดดันจากมาตรการของทางการไทย


- ทำไมต้องตัดไฟ? การใช้พลังงานเป็นเครื่องมือควบคุมอาชญากรรม - 

ปัจจุบัน พื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา โดยเฉพาะในเมืองชายแดนเช่น เมียวดี พญาตองซู และท่าขี้เหล็ก เป็นจุดที่เครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมข้ามชาติใช้เป็นฐานปฏิบัติการหลัก รายงานข่าวกรองระบุว่า กลุ่มเหล่านี้ต้องพึ่งพาไฟฟ้าจำนวนมากเพื่อใช้งานเซิร์ฟเวอร์ ระบบโทรคมนาคม และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการหลอกลวงประชาชน

การตัดไฟจึงถูกมองว่าเป็นวิธีหนึ่งในการกดดันและทำลายขีดความสามารถของกลุ่มอาชญากรรมเหล่านี้ ซึ่งที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีการตัดไฟไปแล้วบางจุด เช่น ชเวโก๊กโก่ แต่พบว่าขบวนการยังสามารถดำเนินการต่อไปได้โดยใช้น้ำมันปั่นไฟ ดังนั้น คำถามคือ มาตรการนี้เพียงพอหรือไม่?

- ประสิทธิผลของมาตรการ หยุดขบวนการหรือเพียงสร้างอุปสรรคชั่วคราว? - 

การตัดไฟสามารถสร้างความลำบากให้กับเครือข่ายอาชญากรรมได้ในระยะสั้น เนื่องจากไฟฟ้าเป็นทรัพยากรสำคัญสำหรับการดำเนินงานของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่หากขบวนการสามารถหาวิธีทดแทน เช่น ใช้น้ำมันปั่นไฟ หรือลักลอบเชื่อมไฟจากพื้นที่อื่น ก็อาจทำให้มาตรการนี้ไม่ได้ผลในระยะยาว

อีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องพิจารณาคือ การตัดไฟอาจกระทบต่อประชาชนทั่วไปที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ซึ่งรวมถึงชาวบ้านและธุรกิจที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับแก๊งอาชญากรรม ทำให้เกิดคำถามว่ามาตรการนี้สามารถดำเนินไปได้โดยไม่มีผลกระทบต่อผู้บริสุทธิ์หรือไม่



ตัดไฟดับแก๊งคอลฯ ได้จริงหรือ? เดิมพันความมั่นคงชายแดนไทย-เมียนมา

สรุปข่าว

วิเคราะห์เจาะลึกมาตรการตัดไฟชายแดนเมียนมา หวังแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่สร้างความเสียหายมหาศาลแก่ประเทศไทย แต่มาตรการนี้จะได้ผลจริงหรือ? หรือเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ?

- อุปสรรคในการดำเนินมาตรการ: กฎหมาย การเมือง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ -

แม้ว่ารัฐบาลไทยจะมีอำนาจในการตัดไฟ แต่การดำเนินมาตรการนี้ต้องผ่านกระบวนการทางกฎหมายและข้อตกลงระหว่างประเทศ เนื่องจากการส่งไฟฟ้าไปยังเมียนมาถูกกำหนดไว้ภายใต้สัญญาสัมปทานที่ได้รับอนุมัติจากทั้งสองประเทศ การตัดไฟโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนอาจนำไปสู่ข้อพิพาททางการเมือง และอาจกระทบความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเมียนมา

อีกปัจจัยที่สำคัญคือ กระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าพื้นที่ใดเป็นศูนย์กลางของอาชญากรรมจริงๆ เนื่องจากข้อมูลข่าวกรองที่ไม่แม่นยำอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด และส่งผลกระทบต่อกลุ่มประชากรที่ไม่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์

- ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เศรษฐกิจชายแดนและการขยายฐานของอาชญากรรม - 

มาตรการตัดไฟอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดน เนื่องจากธุรกิจจำนวนมากต้องพึ่งพาพลังงานไฟฟ้าจากฝั่งไทย หากมีการตัดไฟอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้ธุรกิจท้องถิ่นได้รับผลกระทบ และส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศ

นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์อาจขยายฐานปฏิบัติการไปยังประเทศอื่นที่มีกฎหมายที่อ่อนแอกว่า เช่น กัมพูชา ซึ่งเป็นหลักฐานที่พบจากการยึดอุปกรณ์ในขบวนการขนส่งข้ามแดนของตำรวจไซเบอร์ไทย ทำให้มาตรการนี้อาจต้องได้รับการสนับสนุนจากการประสานความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อให้เกิดผลอย่างแท้จริง


--------------------------

มาตรการตัดไฟในพื้นที่ชายแดนอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างสมบูรณ์ หากไม่มีมาตรการเสริมที่ครอบคลุมและประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้าน การตัดไฟอาจเป็นเพียงอุปสรรคชั่วคราวที่กลุ่มอาชญากรรมสามารถปรับตัวและหาวิธีหลีกเลี่ยงได้

ดังนั้น รัฐบาลไทยควรใช้แนวทางแบบองค์รวม โดยรวมถึงความร่วมมือระหว่างประเทศ เทคโนโลยี และการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวด เพื่อให้มั่นใจว่าปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้รับการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ใช่แค่เพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น

แท็กบทความ

ตัดไฟชายแดนเมียนมา
แก๊งคอลเซ็นเตอร์
แก๊งคอล
เมียนมา
เมียวดี
มาตรตัดไฟแก๊งคอล