เพราะอีก 7 ปีข้างหน้า ดาวเคราะห์น้อยดวงหนึ่ง มีความเสี่ยงที่จะพุ่งชนโลก หลังนักดาราศาสตร์ค้นพบ
ดาวดวงนี้ได้เมื่อปีที่แล้ว และคาดว่า มีแรงทำลายล้างสูง หากโลกปะทะกับดาวเคราะห์น้อยนี้
---2024 YR4 จ่อพุ่งชนโลก 2032---
ดาวเคราะห์น้อยที่กำลังพูดถึงอยู่นี้ มีชื่อว่า “2024 YR4” โดยองค์การอวกาศยุโรป หรือ ESA ออกมาเผยว่า ดาวเคราะห์น้อยดวงนี้ มีโอกาส 1 ใน 83 หรือคิดเป็นประมาณ 1.2% ที่จะพุ่งชนโลกในปี 2032
“2024 YR4” ถูกค้นพบเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2024 โดยระบบติดตามดาวเคราะห์น้อย Asteroid
Terrestrial-impact Last Alert System หรือ ATLAST ของนาซา มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 40-100 เมตร
สรุปข่าว
---ความรุนแรงทำลายล้างระดับภูมิภาค---
ถ้าหาก “2024 YR4” พุ่งเข้าชนโลกจริง ๆ นักวิทยาศาสตร์ คาดว่า จะปล่อยแรงระเบิดประมาณ 8 เมกะตัน และนั่นรุนแรงกว่าระเบิดปรมาณูที่ทำลายเมืองฮิโรชิมา มากถึง 500 เท่า ซึ่งสามารถทำลายเมืองใหญ่ ๆ ทั้งเมืองได้
เว็บไซต์ ESA ระบุว่า หลังค้นพบได้ไม่นาน ระบบเตือนดาวเคราะห์น้อยอัตโนมัติกำหนดว่า วัตถุอวกาศงชิ้นนี้ มีโอกาสเล็กน้อยที่จะพุ่งชนโลกในวันที่ 22 ธันวาคม 2032 และดาวเคราะห์น้อยขนาดนี้ จะพุ่งชนโลก โดยเฉลี่ยทุก 2-3 พันปี และอาจสร้างความเสียหายร้ายแรงระดับท้องถิ่นได้
ด้วยความเสี่ยงนี้ จึงทำให้ ESA จัดให้ “2024 YR4” ขึ้นไปอยู่ในอันดับต้น ๆ ของรายการที่ต้องจับตามองมาตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา และนักดาราศาสตร์ทั่วโลกก็กำลังติดตามดาวดวงนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อศึกษาเกี่ยวกับเส้นทาง และขนาดของมัน
ทั้งนี้ นักดาราศาสตร์ ประเมินว่า ดาวเคราะห์น้อยนี้ มีโอกาสเข้าใกล้โลกหลายครั้ง โดยจะโคจรเฉียดเร็วที่สุดคือ ปลายปี 2028 หลังจากนั้น จะเฉียดเข้าใกล้โลกอีก 6 ในช่วงระหว่างปี 2032-2074 แต่จะพุ่งเข้าใกล้โลก จนมีโอกาสพุ่งชนโลกมากที่สุด คือ วันที่ 22 ธันวาคม 2032
---อย่าเพิ่งรีบด่วนสรุป โอกาสไม่ชนสูงเกือบ 99%---
แม้ว่าจะมีโอกาสพุ่งชนโลกในอีก 7 ปีข้างหน้า แต่ก็ยังเร็วเกินกว่าที่จะด่วนสรุปว่า จะเกิดผลกระทบอะไรขึ้น
ESA ระบุว่า มีโอกาสเกือบ 99% ที่ดาวเคราะห์น้อยนี้ จะโคจรผ่านโลกไปอย่างปลอดภัย และได้จัดอันดับภัยคุกคามตามมาตราวัดโตริโนไว้ที่ระดับ 3 ซึ่งดาวเคราะห์น้อยส่วนใหญ่ในระดับนี้ จะถูกปรับลดระดับลงจนเหลือ 0 นั่นหมายความว่า แนวโน้มการชนกันแทบไม่เกิดขึ้นเลย หรือเป็นศูนย์นั่นเอง
แปล-เรียบเรียง: พรวษา ภักตร์ดวงจันทร์
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
ที่มาข้อมูล : Live Science, ESA
ที่มารูปภาพ : Getty Images