Toxic People ภัยร้ายในที่ทำงาน กดดัน บีบคั้น เสี่ยงฆ่าตัวตาย
เภสัชกรหนุ่มจบชีวิต สาเหตุจากหัวหน้า Toxic! พฤติกรรม Toxic People ทำลายสุขภาพจิต บีบคั้น กดดัน ไร้ทางออก เสี่ยงฆ่าตัวตาย วิกฤตสุขภาพจิตคนทำงาน พบสถิติอัตราฆ่าตัวตายพุ่ง!
เหตุการณ์สลดใจได้เกิดขึ้นอีกครั้งในวงการสาธารณสุขไทย เมื่อเภสัชกรหนุ่มของโรงพยาบาลชื่อดัง ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองก่อนวัยอันควร โดยทิ้งข้อความสุดท้ายผ่านโซเชียลมีเดียถึงหัวหน้างาน สะท้อนให้เห็นถึงความทุกข์ทรมานจากการถูกกดดันในที่ทำงาน เนื้อหาในข้อความถูกเปิดเผยผ่านเพจ "อีซ้อขยี้ข่าว" ระบุชัดเจนถึงพฤติกรรมของผู้บังคับบัญชาที่ "ไม่เคยเปิดใจรับฟังอะไรทั้งสิ้นและชอบใช้วิธีบีบคั้นหรือกดดันเพื่อให้ลูกน้องลาออก"
จากเหตุการณ์นี้ โรงพยาบาลพระรามเก้า ได้ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจ พร้อมยืนยันถึงความรับผิดชอบและการดำเนินการอย่างยุติธรรมในทุกขั้นตอน โดยชี้แจงว่าความล่าช้าในการออกแถลงการณ์เป็นเพราะต้องรวบรวมข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อนอย่างรอบคอบ และคำนึงถึงจิตใจของครอบครัวผู้เสียชีวิต นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่มีความเข้าอกเข้าใจ (Empathy) และการดูแลซึ่งกันและกัน
Toxic People และหัวหน้า Toxic คืออะไร?
ในบรรยากาศที่มี Toxic People หรือคนที่ทำให้เกิดบรรยากาศเชิงลบ การทำงานร่วมกันอาจเป็นเรื่องท้าทาย คนเหล่านี้มักมีพฤติกรรมที่บ่อนทำลายผู้อื่น หรือสร้างบรรยากาศเชิงลบด้วยการแสดงออกที่ไม่เคารพ การวิจารณ์ในเชิงลบอย่างต่อเนื่อง หรือการกีดกันหัวข้อสำคัญ ซึ่งมีผลให้เพื่อนร่วมงานรู้สึกกดดันและถูกกีดกันจากการเติบโตในหน้าที่การงาน
นอกจากนี้ หัวหน้าที่เป็น Toxic Leader จะมีพฤติกรรมกดดันพนักงานในเชิงลบ ไม่สนับสนุนการเติบโต ไม่ให้คำชี้แนะที่สร้างสรรค์ และไม่เคารพความคิดเห็นของพนักงาน สิ่งเหล่านี้นำไปสู่ความรู้สึกไม่เป็นส่วนหนึ่งขององค์กร และทำให้การทำงานเป็นเรื่องน่ากดดันและน่าเบื่อหน่าย
สถิติจากกรมสุขภาพจิตชี้ให้เห็นแนวโน้มที่น่าวิตกของอัตราการฆ่าตัวตายในประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 6.3 ต่อประชากรแสนคนในปี 2018 เป็น 7.97 ในปี 2022 โดยกลุ่มวัยทำงานช่วงอายุ 15-34 ปี เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงสุด สาเหตุหลักมาจากปัญหาความสัมพันธ์ในที่ทำงาน ความกดดันจากหน้าที่การงาน และภาวะซึมเศร้าที่ไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
ผู้เชี่ยวชาญ อธิบายว่า โรคซึมเศร้าเป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่การฆ่าตัวตาย โดยผู้ป่วยจะมีอาการเริ่มต้นที่สังเกตได้ เช่น ความรู้สึกเบื่อหน่ายรุนแรง ขาดความสนใจในสิ่งรอบตัว มีปัญหาการนอน การรับประทานอาหาร และการทำงาน ที่สำคัญคือความรู้สึกไร้ค่าและความคิดทางลบต่อตนเอง
เปิดสถิติหดหู่! วงการแพทย์ไทยเสี่ยงฆ่าตัวตาย
จากการศึกษาทบทวนข้อมูลการฆ่าตัวตายในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบตัวเลขที่น่าตกใจ โดยอัตราการฆ่าตัวตายในกลุ่มแพทย์อยู่ระหว่าง 28-40 รายต่อ 100,000 คน ซึ่งสูงกว่าประชากรทั่วไปที่มีอัตรา 12.3 รายต่อ 100,000 คน อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มแพทย์หญิงที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จสูงกว่าประชากรทั่วไปถึง 2.5-4 เท่า
ความชุกของโรคซึมเศร้าในบุคลากรทางการแพทย์ก็อยู่ในระดับที่น่าวิตก พบร้อยละ 12 ในแพทย์ชาย และร้อยละ 19.5 ในแพทย์หญิง โดยเฉพาะในกลุ่มนักศึกษาแพทย์และแพทย์ประจำบ้านที่พบความชุกสูงถึงร้อยละ 15 และ 30 ตามลำดับ สะท้อนให้เห็นปัญหาสุขภาพจิตที่เริ่มตั้งแต่ช่วงการศึกษาและฝึกอบรม
สาเหตุของการฆ่าตัวตายในบุคลากรทางการแพทย์มีหลายประการ ทั้งโรคอารมณ์แปรปรวน ภาวะซึมเศร้า ความเครียดเรื้อรังจากการทำงาน รวมถึง Toxic Workplace และการกดดันจากผู้บังคับบัญชา ซึ่งสอดคล้องกับกรณีของเภสัชกรรายนี้
ข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ยังระบุว่า จำนวนผู้ป่วยโรคซึมเศร้าในประเทศไทยเพิ่มขึ้นจาก 355,537 คนในปี 2563 เป็น 358,267 คนในปี 2564 สะท้อนให้เห็นถึงวิกฤตสุขภาพจิตที่กำลังทวีความรุนแรง โดยเฉพาะในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องทำงานภายใต้ความกดดันสูง
การแก้ปัญหา Toxic Workplace ต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบ เริ่มจากการปรับโครงสร้างองค์กรให้มีความยืดหยุ่น ลดลำดับชั้นการบังคับบัญชาที่ซับซ้อน และสร้างช่องทางการสื่อสารแบบเปิด องค์กรควรจัดให้มีระบบประเมินและติดตามสุขภาพจิตของบุคลากรอย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้งจัดตั้งหน่วยให้คำปรึกษาที่เป็นความลับและปลอดภัย
นอกจากนี้ การพัฒนาทักษะการบริหารงานของผู้นำองค์กรเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะด้านการรับฟัง การให้คำแนะนำ และการจัดการความขัดแย้ง ควรมีการอบรมผู้บริหารทุกระดับเกี่ยวกับการสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี การให้กำลังใจ และการสนับสนุนผู้ใต้บังคับบัญชา
สำหรับผู้ที่กำลังเผชิญกับความเครียดหรือภาวะซึมเศร้า สามารถขอความช่วยเหลือได้ที่สายด่วนสุขภาพจิต 1323 ซึ่งให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง โดยในปี 2564 มีผู้ใช้บริการสายด่วนนี้ถึง 120,510 สาย แบ่งเป็นผู้ที่มีความเครียดและวิตกกังวลร้อยละ 52 ผู้ป่วยจิตเวชเดิมร้อยละ 38 และผู้มีความคิดฆ่าตัวตายร้อยละ 21
เหตุการณ์ครั้งนี้ควรเป็นสัญญาณเตือนให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพจิตบุคลากร โดยเฉพาะในวงการแพทย์ที่ต้องรับผิดชอบชีวิตผู้ป่วย การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี ระบบสนับสนุนทางจิตใจที่เข้มแข็ง และวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นการเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมเช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคต
ท้ายที่สุด การเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มจากทุกคนในองค์กร ตั้งแต่ระดับผู้บริหารจนถึงพนักงาน ในการร่วมกันสร้างบรรยากาศการทำงานที่เอื้อต่อสุขภาวะที่ดี เพราะชีวิตและสุขภาพจิตของบุคลากรทางการแพทย์มีค่าเกินกว่าที่จะปล่อยให้สูญเสียไปอย่างไร้ค่าเช่นนี้
ที่มา:
แถลงการณ์โรงพยาบาลพระรามเก้า (31 ตุลาคม 2567)
รายงานการศึกษาทบทวนข้อมูลการฆ่าตัวตายในกลุ่มแพทย์
ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข
การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสุขภาพจิตบุคลากรทางการแพทย์
ข่าวแนะนำ