จู่ๆ ก็รู้สึกว่า "ไม่อยากมีชีวิตอยู่" สัญญาณเตือนปัญหาสุขภาพจิต ที่ต้องเร่งใส่ใจ

จู่ๆก็รู้สึกว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่” เป็นความคิดที่หลายคนอาจเคยเจอ อารมณ์เช่นนี้อาจเกิดขึ้นได้ชั่วขณะและอาจยังไม่นับเป็นความผิดปกติ แต่หากความคิดนี้เกิดขึ้นบ่อยๆหรือรุนแรงขึ้น สิ่งนี้อาจเป็นสัญญาณของปัญหาทางสุขภาพจิตที่ต้องได้รับความใส่ใจ มาทำความเข้าใจกันว่าทำไมเราถึงรู้สึกเช่นนี้ และเราจะรับมือกับมันได้อย่างไร

ความรู้สึกไม่อยากมีชีวิตอยู่เกิดขึ้นจากอะไร

อารมณ์แบบนี้มักเกิดจาก ปัจจัยทางชีวภาพ จิตใจ และสังคม รวมกัน เช่น

  • สารเคมีในสมองไม่สมดุล โดยเฉพาะเซโรโทนินและโดปามีน ซึ่งเกี่ยวข้องกับภาวะซึมเศร้า
  • ความเครียดสะสม จากเรื่องงาน การเงิน ความสัมพันธ์ หรือเหตุการณ์ในอดีต
  • ภาวะหมดไฟ (Burnout) ที่เกิดจากการทำงานหนักเกินไปโดยไม่พักผ่อน
  • ความรู้สึกไร้ค่า(Worthlessness) หรือ ขาดความหมายในชีวิต

 

สถิติที่น่าสนใจเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า

  • 1 ใน 5 ของผู้ใหญ่ทั่วโลกเคยมีความคิดเกี่ยวกับการไม่อยากมีชีวิตอยู่
  • ผู้ที่มีภาวะซึมเศร้ามีโอกาสสูงขึ้นถึง 20 เท่า ในการคิดเกี่ยวกับการทำร้ายตัวเอง
จู่ๆ ก็รู้สึกว่า "ไม่อยากมีชีวิตอยู่" สัญญาณเตือนปัญหาสุขภาพจิต ที่ต้องเร่งใส่ใจ

สรุปข่าว

ข้อมูลสำคัญ: มากกว่า 50% ของผู้ที่มีภาวะซึมเศร้า เคยมีความคิดเกี่ยวกับการไม่อยากมีชีวิตอยู่ การขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญสามารถลดความรุนแรงของอาการได้ถึง 70%

ความรู้สึกไม่อยากมีชีวิตอยู่อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพจิต

  • ภาวะซึมเศร้า (Depression) – อาการเศร้าเรื้อรัง ขาดแรงจูงใจ นอนไม่หลับหรือหลับมากเกินไป
  • โรคไบโพลาร์ (Bipolar Disorder) – มีช่วงที่อารมณ์ต่ำมากจนรู้สึกไร้ค่า
  • โรค PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder) – เกิดจากเหตุการณ์สะเทือนใจในอดีต
  • ภาวะหมดไฟทางอารมณ์ (Emotional Exhaustion) – รู้สึกอ่อนล้า ไร้เรี่ยวแรงกับทุกสิ่ง


ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า

  • มากกว่า 50% ของผู้ที่มีภาวะซึมเศร้า เคยมีความคิดเกี่ยวกับการไม่อยากมีชีวิตอยู่
  • การขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญสามารถลดความรุนแรงของอาการได้ถึง 70%


เราจะรับมือกับภาวะซึมเศร้าอย่างไร

  1.  หยุดโทษตัวเอง – ความรู้สึกนี้ไม่ได้แปลว่าคุณอ่อนแอ หรือเป็นภาระของใคร มันเป็นอาการของภาวะทางจิตที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน
  2.  หาคนที่ไว้ใจได้พูดคุย – การพูดออกมาอาจช่วยให้รู้สึกเบาลง ลองคุยกับเพื่อน ครอบครัว หรือที่ปรึกษาทางจิตวิทยา
  3.  ปรับสมดุลร่างกาย – พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย และทานอาหารที่มีประโยชน์ การดูแลสุขภาพกายช่วยเสริมสุขภาพจิต
  4.  หลีกเลี่ยงตัวกระตุ้นอารมณ์ด้านลบ – เช่น โซเชียลมีเดียที่เต็มไปด้วยข่าวร้าย หรือคนที่ทำให้คุณรู้สึกแย่
  5.  ขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ – หากความรู้สึกนี้เกิดขึ้นบ่อยขึ้นหรือรุนแรงขึ้น การเข้ารับคำปรึกษาจากจิตแพทย์เป็นทางเลือกที่ดี
avatar

ชมภู ศรียามาตย์