TNN ลดดอกเบี้ย แล้วไงต่อ? วิเคราะห์ ความท้าทาย เศรษฐกิจไทย

TNN

TNN Exclusive

ลดดอกเบี้ย แล้วไงต่อ? วิเคราะห์ ความท้าทาย เศรษฐกิจไทย

ลดดอกเบี้ย แล้วไงต่อ? วิเคราะห์ ความท้าทาย เศรษฐกิจไทย

กนง. ลดดอกเบี้ยเหลือ 2.25% กระตุ้นเศรษฐกิจไทย! หวังลดภาระหนี้ แต่ยังต้องจับตาผลกระทบเงินเฟ้อ ค่าเงินบาท และความเสี่ยงระยะยาว

ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2567 ได้มีมติด้วยเสียง 5 ต่อ 2 ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 2.50% เหลือ 2.25% ต่อปี โดยให้มีผลทันที การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงความพยายามของ กนง. ในการกระตุ้นเศรษฐกิจและบรรเทาภาระหนี้ของประชาชน แต่ก็ยังมีข้อถกเถียงถึงผลกระทบในระยะยาว


สถานการณ์เศรษฐกิจไทยและเหตุผลในการลดดอกเบี้ย


เศรษฐกิจไทยในภาพรวมมีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับที่ กนง. ได้ประเมินไว้ที่ร้อยละ 2.7 ในปี 2567 โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน ซึ่งได้รับแรงส่งเพิ่มเติมจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจยังคงมีความแตกต่างกันในแต่ละภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มธุรกิจ SMEs และภาคการส่งออกบางประเภทที่ยังคงเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้าง


การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อช่วยบรรเทาภาระหนี้ของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่ม SMEs ที่ยังคงเผชิญกับปัญหาทางการเงิน นอกจากนี้ ยังเป็นการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจในภาพรวม โดย กนง. เชื่อว่าการปรับลดดอกเบี้ยจะไม่เป็นอุปสรรคต่อกระบวนการปรับลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อรายได้ในระยะยาว


ผลกระทบต่อเงินเฟ้อและค่าเงินบาท


ในด้านเสถียรภาพราคา กนง. คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2567 จะอยู่ที่ร้อยละ 0.5 และจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 1.2 ในปี 2568 ซึ่งยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง เช่น การแข่งขันด้านราคาที่สูงขึ้นจากสินค้านำเข้า


ในส่วนของค่าเงินบาท การลดอัตราดอกเบี้ยอาจส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าลงเล็กน้อย ซึ่งอาจเป็นผลดีต่อภาคการส่งออก แต่ก็ต้องติดตามผลกระทบต่อต้นทุนการนำเข้าอย่างใกล้ชิด


ความท้าทายและความเสี่ยงในระยะยาว


แม้ว่าการลดอัตราดอกเบี้ยจะมีเป้าหมายในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ก็มีความเสี่ยงที่ต้องพิจารณา โดยเฉพาะในประเด็นต่อไปนี้:


1. คุณภาพสินเชื่อ: การลดดอกเบี้ยอาจนำไปสู่การปล่อยสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพสินเชื่อในระยะยาว โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เช่น SMEs และครัวเรือนที่มีภาระหนี้สูง


2. ความสามารถในการรับมือกับวิกฤตในอนาคต: การลดดอกเบี้ยในขณะนี้อาจทำให้ กนง. มีพื้นที่ในการดำเนินนโยบายการเงินจำกัดลงหากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในอนาคต


3. การสะสมความไม่สมดุลทางการเงิน: อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเกินไปอาจนำไปสู่การสะสมความไม่สมดุลทางการเงินในระยะยาว เช่น การเก็งกำไรในตลาดสินทรัพย์


บทสรุปและมุมมองต่ออนาคต


การตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. สะท้อนถึงความพยายามในการสร้างสมดุลระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจและการรักษาเสถียรภาพทางการเงินในระยะยาว 


อย่างไรก็ตาม ประสิทธิผลของมาตรการนี้จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย รวมถึงการตอบสนองของภาคเอกชนและสถาบันการเงิน


ในระยะต่อไป จะต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่าการลดดอกเบี้ยครั้งนี้จะส่งผลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ การปรับโครงสร้างหนี้ และคุณภาพสินเชื่อในระบบการเงินอย่างไร 


นอกจากนี้ ยังต้องพิจารณาว่าจะมีความจำเป็นในการใช้มาตรการเสริมอื่นๆ เช่น นโยบายการคลังหรือมาตรการสนับสนุนเฉพาะกลุ่ม เพื่อให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเป็นไปอย่างทั่วถึงและยั่งยืน


ท้ายที่สุด คำถามสำคัญที่ต้องติดตามคือ การปรับลดดอกเบี้ยครั้งนี้จะเป็นสัญญาณบวกต่อเศรษฐกิจไทยในระยะสั้นและกลาง หรือจะนำไปสู่ความเสี่ยงทางการเงินในระยะยาว? 


คำตอบจะปรากฏชัดเจนขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ขณะที่ทุกภาคส่วนจับตาดูผลลัพธ์ของการตัดสินใจครั้งสำคัญนี้



ภาพ Freepik 

ข่าวแนะนำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง