
ยังไม่ทันเข้าหมดไตรมาสแรก ในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สองของโดนัลด์ ทรัมป์ จากการลงนามคำสั่งพิเศษของเขา ก็ได้สร้างความวุ่นวาย และผลกระทบไปยังวงการต่างๆ ทั่วโลก และหนึ่งในวงการ ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า กำลังได้รับผลกระทบอย่างหนักหลังทรัมป์เข้ามาอีกครั้ง คือ ‘วงการสื่อ’
ทรัมป์ทำอะไรไปบ้าง ทำไมส่งผลกระทบต่อนักข่าว และสื่อทั่วโลก จนถูกมองว่า สิทธิเสรีภาพสื่อได้หายไปแล้ว ?
เมื่อนักข่าวถูกพักงาน งบช่วยเหลือ และงบสื่อถูกตัด
หลังทรัมป์เข้ามาดำรงตำแหน่งได้ไม่กี่วัน สิ่งแรกๆ ที่เขาทำคือการตัดงบช่วยเหลือต่างประเทศ ผ่านหน่วยงาน USAID ซึ่งองค์กรนักข่าวไร้พรมแดน (RSF) เปิดเผยว่า การตัดเงินนั้นกระทบกับวงการสื่อ และนักข่าวหลายพันคน เพราะที่ผ่านมา USAID ได้ให้ทุนสนับสนุนนักข่าวกว่า 6,200 คน, สื่อที่ไม่ใช่สื่อของรัฐ 707 แห่ง และองค์กรพัฒนาเอกชนที่เน้นด้านสื่อ 279 แห่งในกว่า 30 ประเทศในปี 2023
ทั้งในรายงานงบประมาฯปี 2025 ยังได้จัดสรรเงิน 268.4 ล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุน สื่ออิสระและการไหลเวียนของข้อมูลอย่างเสรี ซึ่งปกติแล้วหน่วนงานที่ได้รับการสนับสนุน จะจัดฝึกอบรมและสนับสนุนเพื่อ “เสริมสร้างสื่ออิสระ” และสื่อในประเทศที่มีปัญหาต่างๆ อย่างยูเครน หรือเบลารุส และอิหร่าน ซึ่งมีนักข่าวอิสระ ที่มักทำงานตรวจสอบความโปร่งใสของการเลือกตั้งในประเทศต่างๆ ไปถึงประเด็นเรื่องเสรีภาพ จึงเชื่อว่า การตัดงบจะส่งผลต่อเสรีภาพสื่อ และการส่งเสริมประชาธิปไตยทั่วโลก
ซึ่งภายหลังการประกาศตัดงบ ทาง TNN ก็ได้รับข้อมูลว่า มีสื่อไทย และ NGOs จำนวนหนึ่งที่ได้รับทุนสนับสนุนจากองค์กรของสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง
และล่าสุดนี้ จากการลงนามคำสั่งพิเศษล่าสุดในวันที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมา ที่ประกาศตัดงบ
สำนักงานสื่อสารมวลชนระดับโลกแห่งสหรัฐ (USAGM) ก็ทำให้สำนักข่าวอย่าง Voice of America หรือ VOA และสถานีวิทยุอื่นๆ อย่างวิทยุยุโรปเสรี (Radio Free Europe) วิทยุเอเชียเสรี (Radio Free Asia) และเครือข่ายกระจายเสียงตะวันออกกลาง (Middle East Broadcasting Networks) ได้รับผลกระทบไปหมดด้วย
โดยพนักงานมากกว่า 1,300 คน ของ VOA ที่รวมทั้งผู้สื่อข่าว โปรดิวเซอร์ พนักงานฝ่ายสนับสนุนอื่น ๆ และพนักงานระดับอาวุโส ได้รับอีเมล์แจ้งเตือนให้ “พักงาน” โดยทรัมป์มองว่า องค์กรสื่อดังกล่าวเป็นองค์ประกอบของระบบราชการในรัฐบาลกลางที่ ‘ไม่จําเป็น’ ขณะที่ฝ่ายสนับสนุนทรัมป์บางส่วนก็เห็นด้วย โดยบอกว่าสถานีเหล่านี้มีขนาดใหญ่ และล้าสมัย
แต่ถึงอย่างนั้น แม้แต่ สส.ฝั่งรีพับลิกัน บางส่วนก็มองว่าการตัดงบสื่อรอบนี้ ไม่ส่งผลดี กระทบต่อเสรีภาพ รวมถึงยังทำให้สหรัฐฯ เสียพื้นที่สื่อให้กับจีนและประเทศมหาอำนาจอื่นๆ ด้วย

สรุปข่าว
ทาง TNN Online ได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ของ VOA ที่อยู่ในสหรัฐฯ ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเขาบอกกับเราว่า จนถึงขณะนี้ ไม่มีส่วนไหนของ VOA ที่ปฏิบัติงานได้เลย
“ตามข้อมูลจาก ผู้อำนวยการ VOA ที่แถลงผ่านสื่อ เจ้าหน้าที่ VOA ทุกคน ราว 1,300 คน ทั้งนักข่าว ฝ่ายผลิตรายการ และฝ่ายสนับสนุนการออกอากาศ ได้รับอีเมล์ในเช้าวันเสาร์ ที่ 15 มี.ค. ตามเวลาสหรัฐฯ มีคำสั่งพักงาน และไม่สามารถเข้าไปอาคารที่ทำงานได้ ทราบจากเพื่อนร่วมงานบางคนที่เดินทางไปทำงานพบว่า เข้าในอาคารไม่ได้ และถูกเชิญให้ออกจากอาคาร” เขาเล่า
เราสอบถามเขาถึงความเห็น ที่ฝ่ายสนับสนุนทรัมป์ให้เหตุผลในการตัดงบว่า VOA และสถานีวิทยุอื่นๆ ล้าหลัง ซึ่งเขาก็เน้นย้ำว่า VOA เป็นสำนักข่าวที่รายงานความจริง และการตัดงบจะกระทบการนำเสนอข่าวไปทั่วโลก ไม่ใช่แค่กับสหรัฐฯ เท่านั้น
“VOA ที่เริ่มต้นออกอากาศ ตั้งแต่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 มุ่งเสนอข่าวที่เป็นความจริง ครอบคลุม และเป็นอิสระ ส่งเสริมเสรีภาพและประชาธิปไตยในทั่วโลก บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับอเมริกา ขณะเดียวกันก็มีกรอบการทำงาน ที่มุ่งนำเสนอข่าวอย่างเป็นกลาง รอบด้าน ชัดเจน รับผิดชอบ และเป็นอิสระ โดยมี ‘กฎบัตรของวีโอเอ’ ที่ถือเป็นกฎหมายที่รับรองจากรัฐสภา ที่ใช้ปกป้องอิทธิพล หรือ แรงกดดัน จาก เจ้าหน้าที่รัฐ หรือฝ่ายการเมืองเพื่อคุ้มครองการทำงาน
การออกคำสั่งพิเศษของ ปธน.ทรัมป์ เมี่อคืนวันศุกร์ที่ 14 มีนาคม ซึ่งระบุให้ตัดลดงบประมาณหน่วยงานรัฐบาลกลาง ทั้งหมด 7 หน่วยงาน รวมทั้ง USAGM ต้นสังกัด VOA โดยระบุให้ดำเนินงานไว้ในส่วนที่จำเป็น กลายเป็นคำถามสำคัญที่เกิดขึ้นกับองค์กรสื่อ ที่ทำหน้าที่ภายใต้กฎหมาย และส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงาน รายงานข่าว แพร่ภาพ และกระจายเสียง กว่า 48 ภาษา ไปสู่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกกว่า 180 ประเทศ และผู้ติดตามกว่า 300 ล้านคนต่อสัปดาห์ โดยเฉพาะการนำเสนอข่าวสารไปยังประเทศที่มีข้อจำกัดในการรายงานข่าวอย่างเป็นอิสระ ตกอยู่ภายใต้อิทธิพล หรือเผด็จการ ไม่สามารถเข้าถึงข้อเท็จจริงได้”
“องค์กรสื่อวิชาชีพในสหรัฐฯ หลายแห่ง ทั้งสมาคมนักข่าวแห่งชาติสหรัฐฯ (National Press Club) หรือองค์กรระดับนานาชาติ เช่น คณะกรรมการคุ้มครองนักสื่อสารมวลชน หรือ CPJ (Committee to Protect Journalists) รวมทั้งผู้คนในวงการสื่อสหรัฐฯ มีปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้ในทันที หลายหน่วยงานวิชาชีพต่างมีแถลงการณ์ประณามคำสั่งดังกล่าวของ ปธน.ทรัมป์ และตั้งคำถามต่อการทำลายหลักการส่งเสริมเสรีภาพ และประชาธิปไตย
นอกจากนี้ยัง บั่นทอนความน่าเชื่อถือของ VOA ที่มุ่งมั่นเพื่อส่งเสริมการเป็นสื่อเสรี และความเป็นอิสระ ในประเทศต่างๆทั่วโลก มาตลอดหลายสิบปี แต่ห้องข่าวทั้งหมดกลับถูกคำสั่งให้พักงานเพียงข้ามคืน”
เขายังมองว่า ผลกระทบจากการตัดงบจากองค์กรนี้ จะกระทบกับผู้ฟังและผู้ชมในหลายประเทศทั่วโลก
ที่เคยได้รับข่าวสารที่จาก VOA “อาจไม่สามารถเข้าถึงข่าวสารที่ส่งข้ามโลกจาก VOA ได้อีก ท่ามกลางภาวะข่าวสาร ที่กระจายไปอย่างไม่จำกัด ทั้งข่าวปลอม ข่าวเท็จต่าง ๆ ที่ไม่สามารถตรวจสอบที่มาได้ แต่ VOA เชื่อว่าข่าวสารจาก VOA จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยถ่วงดุล และเป็นแหล่งที่ตรวจสอบความน่าเชื่อถือ โดยที่มาที่ไปของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้”
เจ้าหน้าที่ VOA รายนี้บอกกับเราว่า ก่อนหน้านี้ VOA ได้รับงบจากรัฐสภา และไม่เคยมีคำสั่งปิดทั้งองค์กรแบบนี้ แต่อาจมีช่วงที่มีการตัด หรือลด ด้วยเหตุผลทางภาคกิจ หรือ
ทิศทางนโยบายในแต่ละภาคภาษา หรือภูมิภาค ที่สหรัฐฯ มุ่งความสำคัญในช่วงแต่ระยะเวลาด้วย
ดังนั้นครั้งนี้จึงถือได้ว่า เป็นเหตุการณ์ที่กระทบครั้งใหญ่ และเขาได้ประเมินสถานการณ์ที่แย่ที่สุดไว้ว่า
“ผู้บริหาร USAGM ได้รับคำสั่งให้ส่งแผนการตัดงบประมาณ ให้ ปธน.ทรัมป์ พิจารณา ภายใน 7 วัน โดยมุ่งตัดทอนงบประมาณให้มากที่สุด และเหลือไว้เท่าที่จำเป็น หรือคงอยู่ไว้ตามกฎหมาย ยังไม่ชัดเจนว่า ทั้งองค์กรที่มีเจ้าหน้าที่ราว 1,300 คน จะถูกตัดส่วนไหนบ้าง แต่หากประเมินจากการตัดงบฯ องค์กรอื่นมาก่อนหน้านี้ เช่น USAID ถูกตัดออกไปราว ร้อยละ 80 และกระทรวงศึกษาฯ ถูกตัดร้อยละ 50 ดังนั้นคาดว่า สัดส่วนการตัดอาจจะพอเดาได้ว่า พอๆ กัน หรือ อาจจะมากกว่า”
กลุ่มอุตสาหกรรมสื่อองค์กร ผู้แพ้ครั้งใหญ่ที่สุดในการเลือกตั้งสหรัฐฯ 2024 ?
ที่ผ่านมา ตั้งแต่สมัยแรกในการดำรงตำแหน่งของทรัมป์ คำยอดฮิตที่เรามักได้ยินประจำคือคำว่า ‘Fake news’ หรือ ‘ข่าวปลอม’ ซึ่งเขามักใช้พูดถึงข่าวที่มีการพูดถึงเขาในแง่ลบ และในช่วง 4 ปีนั้น ยังเป็นช่วงฝันร้ายของหลายๆ สื่อ และกระทบต่อเสรีภาพการทำงานสื่อในสหรัฐฯ และภายหลังทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งในปลายปี 2024 พาดหัวหลักของ The Federalist ไม่ได้พูดถึงทรัมป์ แต่พูดถึง “กลุ่มอุตสาหกรรมสื่อองค์กร” ว่าเป็น “ผู้แพ้ครั้งใหญ่ที่สุดในปี 2024”
ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าทรัมป์ไม่เคยพอใจกับการรายงานข่าว และสื่อในสหรัฐฯ ซักเท่าไหร่ เพราะแม้แต่สำนักข่าว Fox News ที่เรียกว่าเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ของทรัมป์ ยังถูกบ่นเกี่ยวกับการออกอากาศโฆษณาของพรรคเดโมแครต
ศาสตราจารย์ด้านการสื่อสารมวลชน เซท ลูอิสผู้เขียนร่วมในหนังสือ “News After Trump” ถึงขอบเขตที่สื่อสารมวลชนสูญเสียความเกี่ยวข้อง ในฐานะเครื่องมือสร้างความหมายหลักสำหรับสังคมในยุคทรัมป์ให้ความเห็นว่า ทรัมป์รู้วิธีใช้สื่อ และวิธีลดความน่าเชื่อถือของสื่อ
“ก่อนที่จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ทรัมป์ประสบความสำเร็จในการใช้ประโยชน์จากกิจวัตรเดิมที่นักข่าวมักใช้เมื่อรายงานเหตุการณ์ทางการเมือง” และ “เขาเป็นข่าวที่ดี เพราะเขาไม่เหมือนนักการเมืองคนอื่นๆ เขาคาดเดาไม่ได้ และแคมเปญหาเสียงของเขาเหมาะกับวัฒนธรรมสื่อ ที่เน้นความบันเทิงที่เราอาศัยอยู่ในปัจจุบันเป็นอย่างดี ถึงขนาดที่ประธานช่อง CBS กล่าวในเชิงว่า 'ทรัมป์อาจไม่ดีสำหรับประเทศ แต่เขาดีสำหรับ CBS'” ลูอิสกล่าว
แต่หลังจากการใช้สื่อในสมัยแรกแล้ว ลูอิสก็มองว่าทรัมป์หันหลังให้สื่อ และเปลี่ยนนักข่าวให้กลายเป็นคู่แข่งทางการเมืองหลัก ทรัมป์เริ่มเรียกสื่อว่า “ข่าวปลอม” และ “ศัตรูของประชาชน” ห้ามนักข่าวที่เขาไม่ชอบเข้าเวสต์วิง และส่งเสริมความรุนแรงต่อนักข่าว ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อความไว้วางใจของประชาชนที่มีต่อสื่อ
และในสมัยที่สองนี้ เราก็ได้เห็นแล้วว่า ไม่ใช่แค่การเรียกสำนักข่าวต่างๆ ว่าเป็นศัตรู และทำข่าวปลอม แต่เขายังมองว่าสื่อเป็นองค์กรที่ไม่จำเป็น และไม่สนับสนุนเงินช่วยเหลือ ซึ่งอย่างที่พนักงาน VOA บอกกับเรา มันจะไม่กระทบกับแค่สหรัฐฯ แต่ยังต่อผู้ชม และเสรีภาพทั่วโลกด้วย
ที่มารูปภาพ : Freepik

กรุณพร เชษฐพยัคฆ์