
รู้กันหรือไม่ว่า เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ออกประกาศฉบับใหม่ เปลี่ยนนิยามของคำว่า "คู่สมรส" ให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยเฉพาะกับเจ้าพนักงานของรัฐ ที่อยู่กินกับใครสักคนโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส

สรุปข่าว
นิยาม "คู่สมรส" แบบใหม่มีอะไรบ้าง?
ตามประกาศ ป.ป.ช. ฉบับใหม่นี้ บุคคลที่อยู่กินกับเจ้าพนักงานของรัฐ แม้ไม่ได้จดทะเบียนสมรส จะถูกถือว่าเป็น "คู่สมรส" ตามกฎหมาย หากมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้:
1. "จัดพิธีมงคลสมรส" หรือพิธีอื่นในทำนองเดียวกัน โดยมีบุคคลในครอบครัวหรือบุคคลภายนอกรับทราบว่าเป็นการอยู่กินเป็นคู่สมรสตามประเพณี
2. "แสดงตัวหรือมีพฤติการณ์" เป็นที่รับรู้ของสังคมทั่วไปว่ามีสถานะเป็นคู่สมรสกัน
นอกจากนี้ ยังหมายความรวมถึงคนที่เคยจดทะเบียนสมรสกับเจ้าพนักงานของรัฐแล้วจดทะเบียนหย่า แต่ยังแสดงตัวหรือมีพฤติการณ์ให้สังคมรับรู้ว่ายังเป็นคู่สมรสกันอยู่
ตัวอย่างในชีวิตจริง
- กรณีที่ 1: จัดงานแต่งแต่ไม่จดทะเบียน
นายสมชาย เป็นข้าราชการสังกัดกระทรวงมหาดไทย จัดงานแต่งงานกับนางสาวสมหญิงตามประเพณีที่บ้านเกิด มีพิธีหมั้น พิธีสงฆ์ รดน้ำสังข์ และงานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสอย่างเป็นทางการ มีญาติพี่น้องและเพื่อนร่วมงานมาร่วมงานกว่า 500 คน แต่ทั้งคู่ไม่ได้ไปจดทะเบียนสมรสที่อำเภอ
ตามประกาศ ป.ป.ช. ฉบับใหม่ นางสาวสมหญิงถือเป็น "คู่สมรส" ของนายสมชายตามกฎหมาย แม้ไม่มีใบทะเบียนสมรส เนื่องจากได้จัดพิธีมงคลสมรสที่มีบุคคลภายนอกรับทราบว่าเป็นการอยู่กินฉันสามีภริยา
- กรณีที่ 2: อยู่กินกันเปิดเผยต่อสังคม
นางสาวนิภา เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่ง อยู่กินกับนายประสิทธิ์มานานกว่า 10 ปี ทั้งคู่ไม่ได้จัดงานแต่งงานหรือจดทะเบียนสมรส แต่อาศัยอยู่บ้านหลังเดียวกัน ไปงานสังคมด้วยกัน แนะนำกันและกันว่าเป็นสามีภริยา และทุกคนในชุมชนรู้จักทั้งคู่ในฐานะคู่สามีภริยา
ตามประกาศฉบับนี้ นายประสิทธิ์ถือเป็น "คู่สมรส" ของนางสาวนิภาตามกฎหมาย เพราะทั้งคู่มีพฤติการณ์เป็นที่รับรู้ของสังคมทั่วไปว่ามีสถานะเป็นคู่สมรสกัน
- กรณีที่ 3: หย่าร้างแต่ยังอยู่ด้วยกัน
นายวิชัย เป็นเจ้าหน้าที่กรมศุลกากร เคยจดทะเบียนสมรสกับนางวันดี ต่อมาทั้งคู่จดทะเบียนหย่าเพื่อวัตถุประสงค์บางประการ แต่ยังอาศัยอยู่บ้านหลังเดียวกัน ใช้ชีวิตร่วมกันเหมือนเดิม และยังแนะนำกันว่าเป็นสามีภริยาในงานสังคมต่างๆ
ตามประกาศฉบับนี้ นางวันดียังคงถือเป็น "คู่สมรส" ของนายวิชัยตามกฎหมาย ถึงแม้จะจดทะเบียนหย่าแล้วก็ตาม เพราะยังแสดงให้ปรากฏต่อสังคมว่ามีสถานะเป็นคู่สมรสกัน
ผลกระทบทางกฎหมาย
การเปลี่ยนแปลงนิยาม "คู่สมรส" นี้ส่งผลกระทบสำคัญต่อเจ้าพนักงานของรัฐในด้านการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
ในทางปฏิบัติ หมายความว่า
1. เจ้าพนักงานของรัฐต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ "คู่สมรส" ตามนิยามใหม่นี้ด้วย แม้จะไม่ได้จดทะเบียนสมรส
2. หากมีการโอนทรัพย์สินหรือธุรกรรมทางการเงินระหว่างเจ้าพนักงานของรัฐกับคู่ที่อยู่กินด้วยกัน จะถูกพิจารณาเสมือนเป็นการทำธุรกรรมกับคู่สมรสตามกฎหมาย
3. การพิจารณาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนจะครอบคลุมถึงธุรกิจหรือกิจการของคู่ที่อยู่กินด้วยกันตามนิยามใหม่ด้วย
คำถามที่พบบ่อย
1. ประกาศนี้มีผลกับประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานของรัฐหรือไม่?
- ประกาศนี้มีผลเฉพาะกับเจ้าพนักงานของรัฐและคู่ของเขาเท่านั้น ไม่ได้เปลี่ยนแปลงสถานะของคู่ที่อยู่กินกันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสทั่วไป
2. ถ้าอยู่กินกันแต่ไม่ได้เปิดเผยต่อสังคม จะถือว่าเป็นคู่สมรสตามประกาศนี้หรือไม่?
- หากไม่มีการจัดพิธีมงคลสมรสและไม่มีพฤติการณ์ที่แสดงต่อสังคมว่าเป็นคู่สมรส ก็จะไม่เข้าข่ายตามนิยามใหม่นี้
3. มีผลย้อนหลังหรือไม่?
- ประกาศนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม 2568 เป็นต้นไป ไม่มีผลย้อนหลัง
ประกาศฉบับนี้สะท้อนความพยายามของภาครัฐในการอุดช่องว่างทางกฎหมายที่อาจนำไปสู่การทุจริต โดยเฉพาะการปกปิดทรัพย์สินโดยอาศัยความสัมพันธ์ที่ไม่มีสถานะทางกฎหมายอย่างเป็นทางการ
ขณะเดียวกัน ก็เป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานของรัฐต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่า รูปแบบความสัมพันธ์ส่วนตัวของตนอาจมีผลทางกฎหมายในด้านการแสดงทรัพย์สินและหนี้สิน รวมถึงการพิจารณาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน
คุณคิดว่านิยาม "คู่สมรส" แบบใหม่นี้ จะช่วยแก้ปัญหาการทุจริตได้มากน้อยเพียงใด? และจะส่งผลกระทบต่อวัฒนธรรมการอยู่ร่วมกันในสังคมไทยอย่างไร?
ที่มาข้อมูล : TNN เรียบเรียง
ที่มารูปภาพ : Freepik

ยศไกร รัตนบรรเทิง
(เบน)