
ช่วงนี้ผู้เขียนได้มีโอกาสติดตามข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้านอย่าง เวียดนาม ที่หลายสื่อต่างตีแผ่ไปในทำนองทิศทางสดใส แบบเดียวกันอยู่บ่อยครั้ง จนเริ่มฉุกคิดถึงสัญเตือนอันตรายบางอย่าง เมื่อกลับมามองสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองในบ้านเรา จนอยากที่จะหยิบยกมาเล่ากระทุ้งรัฐบาล ให้รีบทำอะไรเสียก่อนที่จะแย่ไปกว่าที่เป็น
แม้ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่มันอาจเกิดขึ้นจริงก็ได้ นั่นคือความจริงที่ว่า ขณะนี้เศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาอย่าง เวียดนาม กำลังเติบโตอาจแซง ประเทศไทย ได้จริงในอีกไม่ถึง 5 ปีข้างหน้านี้ ด้วยปัจจัยส่งเสริมจากรัฐบาลที่เป็นมิตรกับนักลงทุน และ Forecast อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่เริ่มเทียบกันไม่ติดฝุ่น
การส่งออกปี 2567 เวียดนามโดดเด่นสุดในอาเซียน
บทความจากสำนักข่าวนิเคอิ เปรียบเทียบใน 5 ประเทศอาเซียน มาเลเซีย ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม การส่งออกเวียดนาม แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 4.03 แสนล้านดอลลาร์ และเป็นครั้งแรกที่มูลค่าการส่งออกทะลุ 4 แสนล้าน เพิ่มขึ้นมาเกือบสองเท่าจากปี 2560 อยู่ที่ 2.14 แสนล้านดอลลาร์ เท่านั้น
รายงานของศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์และธุรกิจแห่งสหราชอาณาจักร (CEBR) ระบุว่า ภายในปี 2029 หรืออีกไม่ถึง 5 ปีข้างหน้า GDP ของเวียดนาม มีโอกาสแซง 1 ใน 4 เสือแห่งเอเชีย อย่าง สิงคโปร์ด้วย หากเฉลี่ยต่อปีโตที่ 5.8% แตะ 676 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2029 ซึ่งคาดว่าอาจจะสูงกว่า GDP ของสิงคโปร์ ณ ขณะนั้น
ตัดกลับมามอง GDP ปี 2567 ไทยโตต่ำกว่าคาด อยู่ที่ 2.5% ขณะที่ เวียดนาม เติบโตสูงกว่าเป้าที่รัฐบาลคาดการณ์ไว้ที่ 7.09% มี GDP 18.6 ล้านล้านบาท เวียดนามมี GDP ราวๆ 16.0 ล้านล้านบาท เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐเติบโตแกร่งและเวียดนาม ส่งออกสินค้าไปสหรัฐเพิ่มขึ้นถึง 23.4% เป็น 1.23 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2567 เติบโตมากที่สุดในภูมิภาค
ประกอบกับได้รับอานิสงค์เป็นบวกจากสงครามการค้า ระหว่างจีน สหรัฐ ที่เราเคยคิดว่าไทยอาจได้รับอานิสงค์เชิงบวก
เนื่องจากซัพพลายเออร์ในจีนหลายเจ้า อาจตัดสินใจย้ายฐานการผลิตมาไทย แต่จากข้อมูลต่อไปนี้เราอาจจะต้องผิดหวัง เพราะซัพพลายเออร์หลายเจ้า ได้ย้ายฐานการผลิตออกจากจีนแล้ว แต่ประเทศที่เขามุ่งไป ไม่ใช่ไทย? แต่กลับเป็น เวียดนาม ที่มี FDI หรือการลงทุนจากต่างประเทศโดยตรงเพิ่มมากขึ้น
นับจากจำนวนบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ระดับโลกในเวียดนาม ไม่ว่าจะเป็น Meta ที่ล่าสุดเตรียมผลิตอุปกรณ์สำหรับ VR ที่เวียดนาม Samsung มีฐานการผลิตใหญ่สองแห่งที่เมืองทางเหนือของเวียดนาม และ Apple มีซัพพลายเออร์ถึง 35 ราย (ไทยมีแค่ 24ราย) รวมถึง Intel และ Nike
เพราะอะไรเวียดนาม จึงดึงดูด นักลงทุนต่างชาติมากมายขนาดนี้?
เพราะนโยบายสนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศ ที่โดดเด่นและเป็นมิตร ข้อตกลงการค้าเสรีต่างๆกับต่างชาติ ทั้ง FTA , EVFTA, UKVFTA ซึ่งช่วยกระตุ้นการลงทุนจากต่างชาติโดยตรง จำนวนแรงงานวัยทำงาน มีเยอะกว่าของไทย ค่าแรงต่ำกว่า แต่มีทักษะทางด้านภาษาและเทคโนโลยีเป็นที่ต้องการของตลาด รวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่สงบกว่า
ทำให้ในแง่การลงทุนเวียดนามเนื้อหอมกว่าประเทศไทย อยู่หลายขุม
แม้ว่าตัวเลข GDP ของเวียดนาม จะถูกมองว่ามีการนำเอา เศรษฐกิจนอกระบบ Informal Economy (ธุรกิจที่ไม่ผ่านการเก็บภาษีโดยรัฐบาล) เข้าไปคำนวณด้วยจำนวนไม่น้อย ซึ่งไทยเองหากนำไปคำนวณด้วย จะมีตัวเลขอยู่ที่ราวๆ 40 - 50 % ของ GDP แต่อย่างไรก็ตาม หากยังคงอัตราเร่งของ GDP ระหว่างกันเช่นนี้ต่อไป อีกไม่ถึง 5 ปี GDP เวียดนามแซงไทย และ ค่อยๆทิ้งห่างไปได้จริงอย่างแน่นอน
ประเด็นสำคัญ จึงไม่ใช่ว่า เวียดนามจะมี GDP ที่เติบโตมากน้อยแค่ไหน แต่คืออะไรที่ทำให้เศรษฐกิจเขาเติบโตได้ไกลขนาดนี้ และ จะทำอย่างไรให้ GDP ประเทศไทย ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ?

สรุปข่าว
วิเคราะห์ปัจจัยทำไม GDP เวียดนาม โตเร็วกว่า ประเทศไทย?
1.ไทยติดกับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลาง
ระดับ GDP ต่อหัวสูง การเติบโตมักจะช้าลง เพราะค่าแรงสูงขึ้น การขยายตัวของอุตสาหกรรม ไม่รวดเร็วเหมือนประเทศที่กำลังพัฒนาคือเวียดนาม ปัจจัยหลักที่ทำให้ไทยติดกับดักนี้
1. นวัตกรรมและเทคโนโลยี ยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร
2. ระบบการศึกษายังล้าหลัง ขาดทักษะความรู้ในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น AI, Robotics
3. ขาดโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เหมือนเกาหลีใต้และสิงคโปร์ สร้าง GDP ได้จากนวัตกรรม Softpower และ แบรนด์ระดับโลก
2.ไทยพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวสูง เศรษฐกิจไม่มีความหลากหลาย
12-18% ของ GDP มาจากการท่องเที่ยว คือรายได้หลักที่ผยุงเศรษฐกิจในช่วงหลังโควิดเป็นต้นมา ขณะที่เวียดนามมีโครงสร้างเศรษฐกิจที่พึ่งพาการผลิตและการส่งออกมากกว่า ฟื้นตัวเร็วและติดสปีดได้ไวกว่าเรา
3. ไทยเผชิญปัญหาทางการเมืองและกฎหมายที่ไม่เอื้อต่อการลงทุน
ตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา หลายคนเรียกว่า ช่วงเวลาที่สูญหาย เพราะปัจจัยความไม่สงบทาการเมือง การแบ่งแย่ง ทะเลาะกันภายในประเทศ ยุบพรรคนี้ ปฏิวัติ ทำให้การดำเนินนโยบายของรัฐบาลแต่ละสมัยมีความไม่ต่อเนื่อง ขาดความเป็นเอกภาพ(และปัจจุบันก็ยังเป็นอยู่) จึงมีอุปสรรคในการที่จะมาโฟกัสหรือทำเพื่อประเทศชาติได้อย่างเต็มที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ส่วนนี้คืออุปสรรคสำคัญในมุมของต่างที่ ทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น ระบบราชการและกฎหมาย ยังคงล่าช้าและซับซ้อน ไม่เอื้อต่อการขยายตัวของธุรกิจ ในขณะที่เวียดนามมีแนวทางที่เป็นมิตรกับนักลงทุนมากกว่า และรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมอย่างชัดเจน
4. ประชากรวัยทำงานมีจำนวนมากกว่าไทย รัฐแบกค่าใช้จ่ายน้อยกว่า
ไทยกำลังเข้าสู่ สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) แรงงานลดลง คนมีลูกน้อยลง ต้นทุนค่าใช้จ่ายของภาครัฐถูกนำมาใช้ดูแลในส่วนนี้มากขึ้น ขณะที่เวียดนามยังคงมีประชากรวัยทำงานต่ำกว่า 30 ปี สูงถึง 60% และเป็นประเทศที่มีอายุเฉลี่ยของประชากรต่ำกว่าประเทศไทย
ทั้งที่จริง "ประเทศไทย" เองก็มีข้อได้เปรียบ "เวียดนาม" อยู่หลายอย่าง
- โครงสร้างพื้นฐานที่ดีกว่า
ไทยมีระบบขนส่งและสาธารณูปโภค เจริญกว่าบ้านเขาในหลายเมือง มีรถไฟฟ้าหลายสายและทางด่วนมากมาย ขณะที่ ฮานอยมี รถไฟฟ้า 2 สาย และ โฮจีมินห์เพิ่งเปิดตัว รถไฟฟ้าใต้ดินสายแรกไปช่วง ธ.ค. 67 ที่ผ่านมา 14 สถานี และ ล่าช้ากว่า 20 ปี การคมนาคมหลัก ยังคงเป็นรถจักรยานยนต์ ซึ่งไม่เป็นระเบียบ อันตรายและสร้างมลพิษ - การพัฒนาเมือง
กรุงเทพมหานครมีความเจริญและสิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่า เช่น ห้างสรรพสินค้าชั้นนำของไทยที่หรูหรา และ มีหลากหลาย และการเดินทางสะดวกกว่าเมืองใหญ่ของเวียดนาม - ค่าครองชีพ
ค่าครองชีพในเวียดนามต่ำกว่าไทย ทำให้การใช้ชีวิตประจำวันในเวียดนามมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า แต่คุณภาพชีวิตคนไทยสูงกว่า เพราะโครงสร้างพื้นฐานที่ดีและความเจริญที่เข้าถึงแทบทุกตัวเมืองหรือจังหวัดใหญ่ๆ เช่น
- ค่าแรงขั้นต่ำเวียดนามอยู่ที่ 4,680 – 5,000 บาทต่อเดือน
- แต่ค่าเช่าห้องพักในโฮจิมินห์ซิตี้ 5,000 – 8,000 บาทต่อเดือน
- ค่าอาหาร จานละ 30-50 บาท
ในขณะค่าแรงขั้นต่ำไทยอยู่ที่ 10,000-15,000 บาทต่อเดือน
- ค่าเช่าอพาร์ตเมนต์ในกรุงเทพฯ 7,000 – 15,000 บาท
- อาหารข้างทางในไทยราคาเฉลี่ย 50-100 บาท - สาธารณสุขที่ดีกว่า
ไทยมีระบบสาธารณสุขและการศึกษาขั้นพื้นฐานที่คนส่วนใหญ่ของประเทศสามารถเข้าถึงได้ เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค และ โรงพยาบาลรัฐและเอกชนที่ได้มาตรฐานสูง เช่น บำรุงราษฎร์, สมิติเวช, กรุงเทพ ติดอันดับโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในเอเชีย และยังเป็น Medical Hub ของอาเซียนที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจากทั่วโลก ในขณะที่ เวียดนาม ยังประสบปัญหาด้านสาธารณสุข โรงพยาบาลรัฐมักมีความแออัด ขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์และบุคลากร คนเวียดนามที่มีฐานะ มักเลือกเดินทางไปรักษาโรงพยาบาลในไทยหรือสิงคโปร์แทน
เพราะฉะนั้นจริงๆแล้ว หากพิจารณาตามปัจจัยข้างต้น ถือว่าประเทศไทยมีปัจจัยได้เปรียบเชิงโครงสร้างพื้นฐาน ที่คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า ประเทศมีความเจริญและน่าอยู่อาศัยมากกว่าเวียดนาม ที่อาจเป็นแต้มต่อดึงดูดนักลงทุนได้ในอนาคตแต่มันทำไม่ได้ หากไร้ซึ่งนโยบายและการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากภาครัฐ และมันคงไม่เกิดขึ้น หากรัฐบาลยังไม่มีสมาธิและเอกภาพมากพอที่จะคิด และต้องสารวนแก้ไขปัญหาการแย่งชิงอำนาจ การเจรจาต่อรองเกมการเมืองภายในขั้วรัฐบาลขณะนี้ ตัดสินใจโดยอาศัย ดีลลับ ไม่ใช่ทำไปเพื่อ ผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง เหมือนตลอดระยะเวลา 10 กว่าปี ที่ผ่านมา
ภาพทำนายอนาคตอันใกล้ ไม่ไกลเกินจริง หากวันหนึ่งจะพบว่า GDP ไทย มีอัตราการเติบโต ค่อยๆอยู่ดันอับ รั้งท้ายในกลุ่มประเทศอาเซียน เสมือนนิทานกระต่ายกับเต่า ที่เจ้ากระต่าย หลงระเริงในความสามารถ ประเมินศักยภาพเต่าต่ำเกินไป ชะล่าใจว่าเคยแซงมาได้ไกล เผลอไผลเพียงข้ามคืน กระต่ายกลับเดินแซงหน้าเข้าเส้นชัยไปแบบไม่ติดฝุ่น เสมือนระยะเวลาชั่วครู่เพียง 10 ปี ที่ GDP เวียดนาม ก็มาจดจ่อหายใจรดต้นคอประเทศไทยให้ได้เสียวซ่านกันแล้ว หากคำอุปมาไม่เกินจริง มีโอกาสที่อนาคตไม่ถึง 5 ปีนี้ GDP เวียดนามมีโอกาสแซงหน้าประเทศไทย หากรัฐบาลเพิกเฉยต่อสัญญาณเศรษฐกิจอันเลวร้าย ก็อาจทำให้กระต่ายไทยถูกเต่าเวียดนาม แซงหน้าเข้าเส้นชัย ไปแบบไม่ทันตั้งตัวและไม่สนใจหันกลับมามองไทยในฐานะ คู่แข่ง อีกเลย…ด้วยความเคารพและหวังดีจากหัวใจต่อประเทศไทยที่รัก <3
ที่มาข้อมูล : TNN originals รวบรวม
ที่มารูปภาพ : Chat GPT

ณัฏฐ์อาภา ผ่องทิพาภรณ์
(จ๊ะโอ๋)