“จีนจะสู้จนถึงที่สุด” ขึ้นภาษีตอบโต้สหรัฐฯ เปิดศึกสงครามการค้าเต็มรูปแบบ

เรียกได้ว่า สงครามการค้าในขณะนี้ ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ดุเดือดมากขึ้นเรื่อย ๆ แบบไม่มีทีท่าว่าจะลดลง โดยเฉพาะเมื่อ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ประกาศสู้ศึกทางการค้ากับจีนอย่างแข็งกร้าว 


ด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นอีก 10% รวมแล้วสหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนทั้งหมด 20%  สร้างความกดดัน และเพิ่มการกีดกันทางการค้าให้กับจีนเป็นอย่างมาก 

“จีนจะสู้จนถึงที่สุด” ขึ้นภาษีตอบโต้สหรัฐฯ เปิดศึกสงครามการค้าเต็มรูปแบบ

สรุปข่าว

จีนประกาศพร้อมสู้ศึกทางการค้ากับสหรัฐฯ หลังทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้าทั้งหมด 20% ลั่นจะ "จีนจะสู้จนถึงที่สุด" และจะไม่ยอมจำนนต่อการใช้อำนาจครอบงำ หรือ โดนกลั่นแกล้ง พร้อมตอบโต้ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ สูงสุดถึง 15% และยื่นเรื่องร้องเรียนต่อองค์การการค้าโลก ถึงกรณีที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษี

จีนประกาศพร้อม “จะสู้จนถึงที่สุด”


เพื่อเป็นการตอบโต้เรื่องนี้ จีนประกาศตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากอเมริกาบางรายการเพิ่มสูงสุดถึง 15% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้วันที่ 10 มีนาคมนี้ 


“การกดดัน, การบีบบังคับ และการคุกคาม ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องที่ในการมีส่วนร่วมกับจีน ความพยายามในการกดดันจีนอย่างหนัก ถือเป็นเรื่องที่คิดผิด และผิดพลาด” หลิน เจียน โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน กล่าวเมื่อวันอังคาร (4 มีนาคม) ที่ผ่านมา 


“ถ้าสหรัฐฯ ยืนกรานที่จะทำสงครามภาษี, สงครามการค้า หรือ สงครามใด ๆ จีนจะสู้จนถึงที่สุด” เขา กล่าว 


นอกจากนี้ จีนยังควบคุมสินค้าส่งออกไปยังบริษัทสหรัฐฯ หลายแห่ง และยื่นคำร้องต่อองค์การการค้าโลก ถึงกรณีที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษี พร้อมส่งสัญญาณเตือนไปถึงรัฐบาลทรัมป์ว่า “ประชาชนจีนจะไม่มีวันยอมจำนนต่อการถูกอำนาจครอบงำ หรือ โดนกลั่นแกล้ง”


มุ่งพัฒนา-ผลักดันเศรษฐกิจเติบโต


ถึงการขึ้นภาษีที่สูงขึ้น จะทำให้เป็นอุปสรรคต่อเศรษฐกิจจีน แต่บรรดาผู้นำระดับสูง ต่างก็เชื่อมั่นถึงกลยุทธ์ของประเทศ โดยจีนจะหันไปโฟกัสที่นวัตกรรมต่าง ๆ , อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง อย่าง AI หรือรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมหันไปพึ่งพาตนเองมากขึ้นเพื่อทำให้เศรษฐกิจประเทศเติบโต แม้ต้องเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจหลายด้าน เช่น วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ และหนี้ที่สูงขึ้น


ขณะเดียวกัน จีนก็ตั้งเป้าที่จะเติบโตขึ้น 5% แม้ว่าต้องเผชิญข้อจำกัดทางการค้าจากสหรัฐฯ 


จีนมีความเชื่อมั่นต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีของประเทศเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในปีนี้ ที่ทำให้ทั่วโลกหันมาจับตามองนวัตกรรมจีนหลายอย่างเพิ่มขึ้น เช่น DeepSeek โมเดล AI ตัวใหม่ ที่ถูกมองว่า สามารถท้าชนกับ ChatGPT ได้ จนสั่นคลองบัลลังก์ AI ของสหรัฐฯ 


นอกจากนี้ อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าจีน ก็ถือได้ว่าเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวกับ Tesla ของอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีจากสหรัฐฯ ผู้ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในคณะรัฐบาลทรัมป์เช่นกัน 


ผู้นำจีนต้องการเพิ่มการลงทุนไปที่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีมากขึ้น เพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจประเทศเติบโต นับตั้งแต่กลยุทธ์เศรษฐกิจเก่า อย่าง โครงการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่เริ่มมีประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจน้อยลง จีนจึงมองเห็นเทคโนโลยีเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ที่จะก้าวต่อไปในอนาคต 


เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางด้านนี้ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน จึงส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ซึ่งกำลังออกกฎหมายใหม่ เพื่อสนับสนุนให้ภาคธุรกิจนี้เติบโตได้มากขึ้น 

สงครามการค้าไม่ได้กระทบแค่ 2 ชาติ


เมื่อสหรัฐฯ และจีนต่างก็ขับเคี่ยว ฟาดฟันเปิดศึกทางการค้าที่รุนแรงขึ้น คำถามสำคัญต่อมา คือ การที่ชาติมหาอำนาจทั้ง 2 ประเทศ เปิดศึกสู้สงครามทางการค้ากันแบบนี้ ผลกระทบทั่วโลกจะมีอะไรบ้าง โดยเฉพาะกับประเทศไทย 


แน่นอนว่า การขึ้นภาษีสินค้าไม่ได้ส่งผลกระทบต่อแค่ 2 ประเทศยักษ์ใหญ่เท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบไปกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกด้วย 


ข้อมูลจาก MICE Intelligence Center วิเคราะห์ผลกระทบโดยรวมของสงครามการค้าในช่วงปี 2562 ว่า ผลลัพธ์ของสงครามทางการค้าที่ไม่สามารถคาดเดาได้ เป็นปัจจัยหนึ่งที่ขัดขวางการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2562 


การค้าและการลงทุนทั่วโลกยังคงอยู่ภายใต้การคุกคามจากความไม่แน่นอน ผลที่ตามมา คือ การชะลอตัว ของการลงทุนทางธุรกิจ การหยุดชะงักในห่วงโซ่อุปทาน และการไม่เติบโตทางการผลิต 


ตัวสหรัฐฯ และจีนเองต่างก็ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ทั้งคู่ ไม่มีใครได้เป็นผู้ชนะในเกมนี้ 


หวั่นสินค้าต่างชาติแย่งตลาดไทย 


สำหรับสงครามการค้าครั้งใหม่นี้ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. เปิดเผยว่า ความขัดแย้งทางการค้า จะผลักดันให้สินค้าต่างชาติ เข้ามาแย่งตลาดและกระทบต่อภาคการผลิตของไทย 


สินค้าต่างประเทศที่ล้นตลาดจากปัญหาสงครามการค้าและการแยกขั้ว ทะลักเข้ามาในประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการผลิต การจ้างงาน และอาจทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้น


โดยกลุ่มสินค้าสำคัญที่ได้รับผลกระทบมาก ได้แก่ เหล็ก พลาสติก เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องนุ่งห่ม แก้วและกระจก เครื่องสำอาง เป็นต้น 


พร้อมแนะนำว่า หากไทยต้องการลดผลกระทบ ก็ต้องวางแผนให้ดีทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยใช้ประโยชน์จากกระแสการแยกขั้วของ Sipply Chain พร้อมดึงดูดดารลงทุนจากต่างประเทศ


รัฐบาลควรเร่งเจรจาทางการค้าเพิ่มเติมกับเขตการค้าเสรี หรือ FTA และสมาคมการค้าเสรียุโรป อย่าง EU เพื่อให้ไทยสามารถขยายการค้าออกไปในหลายจุด และเสริมความสามารถการแข่งขันให้กับสินค้าไทย 


แหล่งข้อมูลอ้างอิง:

https://edition.cnn.com/2025/03/04/business/china-npc-economy-growth-trade-hnk-intl/index.html

https://www.independent.co.uk/news/world/americas/us-politics/trump-tariff-trade-war-china-stock-market-b2708772.html

https://www.hindustantimes.com/world-news/china-vows-to-retaliate-against-new-us-tariffs-as-trade-tensions-escalate-101741052494220.html

https://www.thaipbs.or.th/news/content/348991

https://intelligence.businesseventsthailand.com/files/insights/62115629125841.pdf

https://www.shs-conferences.org/articles/shsconf/pdf/2024/01/shsconf_icdeba2023_03017.pdf

ที่มาข้อมูล : CNN, Independent, Hindustantimes, Thai PBS, MICE Intelligence Center, SHS-Conferences

ที่มารูปภาพ : Reuters

avatar

พรวษา ภักตร์ดวงจันทร์