
การปะทะคารมอย่างรุนแรง ระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน กลางห้องทำงานของผู้นำทรงพลังที่สุดในโลก คือที่ทำเนียบขาว กรุงวอชิงตัน ดีซี ถูกนำไปตกผลึก วิเคราะห์ และเป็นสัญญาณสะท้อนถึงอนาคตของสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่เข้าสู่ปีที่ 4
รศ.ดร.ปณิธาณ วัฒนายากร นักวิชาการอิสระด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ TNN ถึงฉากทัศน์ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ หลังการปะทะคารมดังกล่าว

สรุปข่าว
ยูเครนจนตรอก
"ผมคิดว่าทั้งสองฝ่ายก็มีจุดยืนที่ได้เปรียบเสียเปรียบต่างกัน ยูเครนไม่สามารถถอยหลังได้มากกว่านี้ มีความจำเป็นต้องอยู่รอด พูดง่าย ๆ ว่าจนมุมแล้ว ขยับมากกว่านี้ก็จะสูญเสียไปทั้งหมด" รศ.ดร.ปณิธาณ กล่าว
"ถ้าคิดว่าสหรัฐฯ ถือไพ่เหนือกว่า ไพ่ใบนั้นก็คือลดการช่วยเหลือลงเรื่อย ๆ และยูเครนก็แพ้ไปเองโดยไม่ได้อะไรเลย คงต้องทำให้ทางยูเครนตกลงมานั่งคุยกับปูติน"
สำหรับภาพการทะเลาะกันด้วยน้ำเสียงและอารมณ์แบบออกสื่อไปทั่วโลกนั้น นักวิชาการอิสระด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ มองว่า นี่ไม่ใช่เรื่องนโยบายอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของอารมณ์ไปแล้ว ซึ่งทำให้อนาคตจากนี้ จะยากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะข้อตกลง และความสัมพันธ์
จากศัตรูเป็นพันธมิตร
นับแต่การลงมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่สหรัฐฯ โหวตสวนพันธมิตรทั่วโลก และเหมือนสนับสนุนรัสเซียด้วยซ้ำ ในกรณีสงครามกับยูเครน ทำให้หลายคนตั้งคำถามว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ มองปูตินเป็นศัตรูหรือพันธมิตรใหม่กันแน่
รศ.ดร.ปณิธาณ วิเคราะห์จากสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องทำงานรูปไข่ว่า "สหรัฐฯ ก็ไม่ยอมถูกดึงไปมากกว่านี้ แต่กลับกลายเป็นว่า ต้องกลับลำเป็นพันธมิตรของศัตรู คือ รัสเซีย ไปโดยปริยาย"
"อันนี้ก็อันตรายกับสหรัฐฯ เหมือนกัน เพราะฉะนั้นทั้งสองฝ่าย ก็มีผลประโยชน์ของแต่ละชาติที่ต้องรักษาไว้"
ไม่เพียงเท่านั้น นอกเหนือจากอารมณ์ที่ทรัมป์แสดงออกมาแล้ว ยังมีเรื่องข้อเท็จจริงและข้อมูลที่ถูกพูดถึงในบทสนทนา ที่บิดเบือนจากความเป็นจริง ซึ่งจะกระทบต่อความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ แน่นอน
"ความเชื่อมั่นในข้อเท็จจริง อย่างสหรัฐฯ บอกว่า ยูเครนไม่สำนึกบุญคุญ ไม่ขอบใจสหรัฐฯ เลย แต่ทางผู้สื่อข่าวนับแล้วว่า 3 ปีนี้ ขอบคุณไป 33 ครั้ง อันนี้ก็จะเสียหายในแง่ของความน่าเชื่อถือ มากกว่าความเชื่อมั่น"
แลกแร่เพื่อสันติภาพ ไปต่อ?
รศ.ดร.ปณิธาณ มองว่า เวทีต่อไปที่จะทำให้เส้นทางสู่สันติภาพเร่ิมกลับมาเข้าที่เข้าทาง คือการหารือระหว่างผู้นำยูเครนกับผู้นำสหราชอาณาจักร เพราะท่าทีของสหรัฐฯ ออกมาแล้วว่า ฝ่ายยุโรปต้องไปเคลียร์กันให้เรียบร้อยก่อน
"วิเคราะห์กันหลายด้าน สรุปได้ว่า แร่ธาตุหายากต้องคุยกันใหม่ แต่ความชัดเจนออกมาแล้ว เหลือประเด็นเดียวนั่นคือ ยูเครนและพันธมิตรสหรัฐฯ ในยุโรปทั้งหมด ต้องการหลักประกันที่ชัดเจนกว่านี้ เมื่อเขาไปนั่งโต๊ะเจรจากับปูตินแล้วว่า ยูเครนจะได้รับประกันอย่างไรว่า รัสเซียจะไม่บุกเข้ามาอีก" เขากล่าว
"แนวต้านทางยุทธวิธีอยู่ตรงไหน จะวางกำลังเท่าไหร่ เมื่อตกลงตรงนี้ได้กับสหรัฐฯ ก็จะกลับไปบนโต๊ะเจรจากับประธานาธิบดีปูติน นั่นคือจุดยืนของยุโรป" ส่วนจุดยืนของสหรัฐฯ "ดูแล้ว คงไม่ได้นั่งคุยกับประธานาธิบดีปูตินแน่ เพราะสหรัฐฯ ไม่พอใจด้วยที่จะดึงสหรัฐฯ เข้าไปสร้างแนวต้านในขณะนี้ สหรัฐฯ บอกว่าให้ไปนั่งคุยกับปูตินก่อน พอคุยกันแล้ว"
แม้การแสดงออกจะดูรุนแรง แต่สหรัฐฯ ชัดเจนแล้วว่า ต้องการใช้วิธีทางการทูตมากกว่าอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
"เจดี แวนซ์ ก็บอกเองว่า นี่คือการทูตไม่ใช่การทหารแล้ว ไปนั่งคุยกันแล้วมาดูว่า แนวต้านจะอยู่ตรงไหน อเมริกันจะช่วยวางกำลังเท่าไหร่ ระหว่างนี้ก็ตกลงกันเรื่องการพัฒนาแร่ธาตุหายาก ซึ่งจะเป็นกลไกต่อรองกับรัสเซียด้วยซ้ำว่า ในเมื่อยูเครนตกลงกับสหรัฐฯ แล้ว ว่าต้องการพัฒนาแร่ธาตุ ทางรัสเซียก็ต้องเห็นแล้วว่า อเมริกาเข้าไปแล้วครึ่งตัว"
"งั้นวิธีการเจรจา จะต่างกันตรงนี้ เป็นคนละด้านหนึ่งของเหรียญ ทั้งสองฝ่ายก็กำลังชักเย่อกันอยู่"

ทศพล ชัยสัมฤทธิ์ผล