
ถึงสภาจะล่มไปแล้ววันนี้ แต่ก็ยังไม่หมดความหวัง เพราะพรุ่งนี้จะมีการพิจารณาอีก 1 วัน
สำหรับการเดินหน้าแก้ไข รัฐธรรมนูญ ปี 60 ที่ถูกมองว่า
เป็นฉบับสืบทอดอำนาจ ของ คสช .
ซึ่งประเด็นที่รัฐสภาจะพิจารณาคือ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ของพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาชน
สาระสำคัญคือ แก้มาตรา 256 และ เพิ่มหมวด 15/1
เพื่อเปิดทางให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญมีความง่ายขึ้น และมาจาก สสร. หรือ สมาชิกสภารัฐธรรมนูญ ซึ่งมาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง คือ ให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ยึดโยงกับประชาชนเจ้าของประเทศมากที่สุด โดยหากสำเร็จจะเป็นครั้งแรกที่ ประเทศไทยจะมี สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
แล้วทำไมวันนี้สภาถึงล่ม การพิจารณาไปไม่ถึงไหน ?
นั่นเพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาฝ่ายที่มองว่า รัฐสภา มีอำนาจแก้ได้เลย และฝ่ายที่มองว่าต้องทำประชามติถามประชาชนก่อน เพื่อไม่ให้ขัดคำวินิจฉัยศาล
ซึ่งการทำประชามติแบบออฟไลน์นั้น อาจใช้งบประมาณสูงถึง 4000 ล้านบาทต่อครั้ง โดยที่ในความเป็นจริง ตามมาตรา 50 ของ พ.ร.บ. ประชามติ ปี 64 เปิดช่องไว้ ใช้เทคโนโลยี ในการเลือกตั้งได้ งบใช้ไม่ถึง 30 ล้าน
ฝั่ง สว.สายสีน้ำเงิน และ พรรคภูมิใจไทย พรรคที่มี ส.ส.มากที่สุดเป็นอันดับ 3 ในสภา ส่งสัญญาณชัดเจนว่า
จะไม่ขอเข้าร่วมพิจารณารัฐธรรมนูญ ปี 60 เพราะกลัวขัดต่อกฏหมาย โดยอนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรค ย้ำว่า การเริ่มแก้ไขรัฐธรรมนูญในปัจจุบัน ยังไม่ได้ผ่านการทำประชามติจากประชาชน
จึงอาจขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในปี 2564 ที่ระบุว่า
จะต้องมีการถามประชามติก่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
จึงเป็นเหตุผลที่ ภูมิใจไทย มองว่าควรต้องมีการทำประชามติ 3 ครั้ง เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วม
1. ทำประชามติ “ก่อน” เพื่อถามว่าอยากให้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ไหม
2. ทำประชามติ เพื่อรับรองการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ของรัฐสภา
3. ทำประชามติ หลังยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จ ก่อนการประกาศใช้
ซึ่งเป็นเหตุผลให้ทาง ส.ส.ของพรรค และ ส.ว.สายสีน้ำเงินนี้ วอร์คเอ้าท์เดินออกจากสภา โดยในความเป็นจริง หากไม่ได้รับเสียงจากพรรคภูมิใจไทย และ ส.ว.กลุ่มนี้
พรรคประชาชน กับพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นสองพรรคที่เสนอร่าง รวมกับ สว. อีก 67 เสียงขึ้นไปก็อาจจะเป็นไปได้อยู่ แต่ก็เป็นเรื่องที่ยากเช่นกัน

สรุปข่าว
แล้วจริงๆ ต้องทำประชามติก่อนจริงไหม ?
มีฝ่ายที่มองว่า จริงๆ แล้วสภามีอำนาจในการแก้รัฐธรรมนูญได้เลย โดยข้อมูลจาก iLaw อธิบายไว้ว่า ศาลเคยว่าไว้แล้วในคำวินิจฉัย 4/2564 ที่ว่า
การจัดทำ รัฐธรรมนูญทั้งฉบับเป็นอำนาจที่รัฐสภาสามารถทำได้
โดยต้องทำประชามติแค่ 2 ครั้ง คือ “ก่อน” และ “หลัง” แก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่สามครั้ง
ถ้าสงสัย ก็ไปพิจารณอิงจากคำวินิจฉัยนี้ ไม่ต้องยื่นเรื่องถามศาลอีกแล้ว
ดังนั้นจึงมีการมองว่า ข้อกล่าวอ้างที่บอกว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต้องทำประชามติถามประชาชนก่อน จึงเสมือนเป็น “ธง” ที่ถูกยกขึ้นมาอ้างเพียงเพื่อต้องการปกป้องรัฐธรรมนูญ 2560
คำถามคือ รัฐธรรมนูญนี้ ไม่ดียังไง ทำไมต้องแก้?
รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ถูกมองว่า เป็นฉบับที่แก้ยาก ประชาชนไม่มีส่วนร่วม และเป็นมรดกสืบทอดอำนาจของ คสช. ซึ่งที่ถูกมองว่าแก้ยากนั้น ก็เพราะ ม.256 ที่เป็นข้อกำหนดในการจะแก้ไขรัฐธรรมนูญไทย ซึ่งจะกระทำได้ ต้องตามหลักเกณฑ์ เช่น
- ญัตติขอแก้ไข ต้องมาจาก ครม. หรือ สส. และ สว. ไม่น้อยกว่า หนึ่งในห้า ของ 2 สภา
หรือประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 50,000 คน และ ต้องเสนอต่อสภาพิจารณา 3 วาระ
และ ในวาระแรกต้อง เรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผย และต้องมีผู้เห็นชอบ ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมด
หรือในวาระที่ 3 ต้องอาศัยเสียงเห็นชอบไม่น้อยกว่า 20%
จาก สส.พรรค ที่ไม่ได้ดำรงตำแหน่ง ในคณะรัฐมนตรี/ ประธานสภาฯ/รองประธานสภาฯ
และต้องอาศัยเสียง สว. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3
ซึ่งล้วนแต่เป็นการเขียนกฎเพื่อให้มีขั้นตอนการแก้ไขที่ยากมาก
2 ร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อไทย - ประชาชน จุดเหมือนที่แตกต่างกันอย่างไร?
สำหรับสองร่างที่ถูกเสนอเพื่อพิจารณีในสองวันนี้ มีจุดร่วมกัน 2 จุดคือ
- แก้ไขในมาตรา 256 ตัดเงื่อนไขที่จะต้องมี สว. อย่างน้อยหนึ่งในสาม (หรือ 67 คน ขึ้นไป) ร่วมให้ความเห็นชอบ
- ขอเพิ่มหมวด 15/1 คือ ต้องมีการตั้ง สภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งประเทศ ซึ่ง สสร. จะมีอำนาจพิจารณาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมา เท่ากับทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมในรัฐธรรมนูญ แก้ไขง่ายขึ้น และ เป็นครั้งแรกที่ มี สสร. จากการเลือกตั้ง
- ทำประชามติ 2 ครั้ง ตามรัฐธรรมนูญกำหนด และเสนอให้ตัดเงื่อนไข การใช้เสียง สว. ร่วมโหวต เห็นชอบรัฐธรรมนูญใหม่ อย่างน้อย 1 ใน 3 หรือ 67 คน ออกไป
จุดต่างสำคัญ
- การแก้ไขหมวดต่างๆ เช่น พรรคประชาชนเสนอ ให้แก้ไขได้ทุกหมวด
ขณะที่พรรคเพื่อไทย ระบุว่า ยกเว้นการแก้ไข หมวด 1 และ หมวด 2
- อำนาจรัฐสภาในการมีสิทธิตีตกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ประชาชน ไม่ให้อำนาจรัฐสภาในการลงมติ ทำได้แค่ อภิปราย
พรรคเพื่อไทย ให้รัฐสภาต้องลงมติ เห็นชอบ หากไม่ผ่าน
สสร. ต้องยืนยันด้วยเสียง 2 ใน 3 ร่าง รธน.ฉบับใหม่จึงจะผ่านได้
- สัดส่วนที่มาของ สสร. และ การตั้งกรรมาธิการยกร่าง
ท่าทีของ ส.ส.หลังสภาล่ม
หลังสภาล่ม พรรคประชาชน (ปชน.) นำโดยณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน แถลงภายหลังยืนยันว่า รัฐสภามีอำนาจเต็ม ในการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 รวมถึงต้องการให้สภาเปิดโอกาสในการอภิปรายอย่างกว้างขวางด้วย ทั้งหัวหน้าพรรคประชาชนยังตั้งคำถาม ถึงท่าทีของเพื่อน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่แม้จะยื่นร่างแก้ไข แต่ก็มีท่าทีเสียงแตก และมองว่า พรรคเพื่อไทยต้องแสดงความเป็นผู้นำในการรวมเสียงด้วย
“หากมีข้อกังวลกับการลงมติจริง ภายหลังการเปิดอภิปรายเสร็จแล้วค่อยมาตัดสินใจก่อนที่จะลงมติอีกครั้งก็ยังได้ ไม่ควรที่จะเซ็นเซอร์อำนาจตัวเอง ถึงขนาดที่ว่าไม่กล้าให้เพื่อนสมาชิกรัฐสภาอภิปรายในรัฐบาลแห่งนี้ได้” ณัฐพงษ์
ขณะที่ด้าน ส.ส.เพื่อไทย ได้ออกมาแถลงจุดยืนหนุนญัตติให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความก่อนพิจารณาก่อน สุทิน คลังแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อเพื่อไทยมองว่า โอกาสที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้จะผ่านนั้นยาก โอกาสตกสูง โอกาสที่จะผ่านแทบไม่มี ดังนั้นวิธีที่จะทำให้ร่างไม่ตก และยังอยู่ในสภาได้ คือการยื่นให้ศาลตีความก่อน
ดังนั้น พรุ่งนี้ (14 ก.พ.) ทางสภาจะยังมีการพิจารณาเรื่องของการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญอยู่ ซึ่งสภาจะล่มอีกเหมือนวันนี้หรือไม่ คงต้องรอดูกันต่อไป
ที่มาข้อมูล : https://policywatch.thaipbs.or.th/article/legal-28 https://www.ilaw.or.th/articles/3939
ที่มารูปภาพ : Freepik

Karoonporn Chetpayark
(Karoonporn)