
ตัวเลขจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐฯ ชี้ให้เห็นถึงความรุนแรงของสถานการณ์ โดยมีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่อย่างน้อย 24 ล้านราย การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 310,000 ราย ผู้เสียชีวิต 13,000 ราย และเด็กเสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่อย่างน้อย 57 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 10 ก.พ. 68)
ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงภาระอันหนักหน่วงที่ตกอยู่กับระบบสาธารณสุขของสหรัฐฯ โรงพยาบาลหลายแห่งเต็มไปด้วยผู้ป่วยล้นหลาม จนต้องให้ผู้ป่วยนอนบนเตียงเคลื่อนที่ในห้องฉุกเฉินระหว่างรอการรับเข้ารักษา ถือเป็นการระบาดของไข้หวัดใหญ่ที่รุนแรงที่สุดในรอบ 15 ปี
ขณะที่การระบาดของไข้หวัดใหญ่ ยังพบปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ เพราะเป็นการระบาดที่มี "จุดสูงสุดสองครั้ง" โดยครั้งแรกเป็นการระบาดในช่วงปีใหม่ 2568 ซึ่งหลังจากที่จำนวนผู้ป่วยลดลงเพียงชั่วคราวก่อนจะพุ่งสูงขึ้นอีกครั้งจนเทียบเท่ากับจุดสูงสุดครั้งแรก เป็นสิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับผู้เชี่ยวชาญหลายคน

สรุปข่าว
ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี ระบุว่าปรากฏการณ์ การระบาดเข้าสู่ "จุดสูงสุดสองครั้ง" (Double Peak Phenomenon) ของไข้หวัดใหญ่ในฤดูกาล 2567-2568 เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ปกติและน่าสนใจ เพราะโดยปกติฤดูกาลไข้หวัดใหญ่มักจะมีจุดสูงสุดเพียงครั้งเดียวในช่วงฤดูหนาว แต่ในปีนี้เกิดการระบาดสองระลอกที่มีความรุนแรงใกล้เคียงกัน โดยการระบาดรอบสองเริ่มขึ้นในช่วงปลายเดือนมกราคม 2568 หลังการระบาดรอบแรกซึ่งเริ่มต้นขึ้นในช่วงเดือนธันวาคม 2567 จบลงไม่ถึง 2 สัปดาห์
“ปรากฏการณ์นี้ส่งผลให้ระยะเวลาการระบาดของไข้หวัดใหญ่ยาวนานกว่าปกติ และสร้างภาระหนักให้กับระบบสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังเพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อร่วมระหว่างไวรัสไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลและไวรัสไข้หวัดนก ซึ่งอาจนำไปสู่การกลายพันธุ์ของไวรัสและสร้างความท้าทายใหม่ๆ ให้กับวงการแพทย์ในอนาคต” หัวหน้าศูนย์จีโนมทางการแพทย์ กล่าว
หัวหน้าศูนย์จีโนมทางการแพทย์ ตั้งข้อสังเกตว่าแม้สถานการณ์จะรุนแรง แต่อัตราการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่กลับลดลงนับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กที่มีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำกว่าฤดูกาลที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการสร้างความตระหนักและความเชื่อมั่นในวัคซีนท่ามกลางวิกฤตการณ์ด้านสาธารณสุขที่ซ้อนทับกัน
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขแนะนำ CDC คาดการณ์ว่าการระบาดของไข้หวัดใหญ่จะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปอีกหลายสัปดาห์ ซึ่งอาจนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและผู้เสียชีวิต นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดการติดเชื้อร่วมระหว่างไวรัสไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลและไวรัสไข้หวัดนก ซึ่งอาจนำไปสู่การกลายพันธุ์ของไวรัสและสร้างความท้าทายใหม่ๆ ให้กับวงการแพทย์
สำหรับการเฝ้าระวังการระบาดของไข้หวัดใหญ่รอบนี้ ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ แนะว่าควรให้มีการเฝ้าระวังที่เข้มข้นขึ้น โดยติดตามการระบาดอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องตลอดทั้งปี ไม่ใช่เฉพาะในช่วงฤดูหนาว การรณรงค์ฉีดวัคซีนควรมีความยืดหยุ่น โดยปรับแผนการฉีดวัคซีนให้สอดคล้องกับรูปแบบการระบาดที่เปลี่ยนแปลงไป
การป้องกันยังอาจรวมถึงการฉีดวัคซีนหลายครั้งในหนึ่งปี การสื่อสารสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ โดยให้ข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัยแก่ประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์การระบาดและมาตรการป้องกัน และการเตรียมพร้อมของระบบสาธารณสุข โดยวางแผนรับมือกับการระบาดที่อาจเกิดขึ้นหลายครั้งในหนึ่งฤดูกาล รวมถึงการจัดสรรทรัพยากรและบุคลากรอย่างเหมาะสม
สำหรับปรากฏการณ์ การระบาดเข้าสู่ "จุดสูงสุดสองครั้ง" เป็นเครื่องเตือนใจว่าโรคติดเชื้อยังคงมีความซับซ้อนและไม่สามารถคาดเดาได้ การเข้าใจและรับมือกับรูปแบบการระบาดใหม่นี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งนักวิจัย ผู้กำหนดนโยบาย และประชาชนทั่วไป เพื่อปกป้องสุขภาพของชุมชนและลดผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขในระยะยาว และการพิจารณาฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรตระหนักและปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพื่อร่วมกันฝ่าฟันวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไปให้ได้
ที่มาข้อมูล : ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี
ที่มารูปภาพ : Canva

Wutthipun Pre
(Wutthipun)