การปรากฏตัวของ "ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อไทย ที่เชียงรายและเชียงใหม่ช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองที่มากกว่าแค่การชิงตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่น
ที่เชียงราย ทักษิณเลือกปูพรมช่วยนางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ผู้สมัครนายก อบจ. ด้วยการชูธง "ท้องถิ่นเป็นหัวใจสำคัญ" พร้อมประกาศแนวคิด "ท้องถิ่นและรัฐบาลต้องเป็นทีมเดียวกัน" เพื่อสร้างแนวร่วมการทำงานระหว่างส่วนกลางและท้องถิ่น ในช่วงที่ประเทศกำลังเผชิญปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งทักษิณมองว่า "วันนี้ฐานรากเสาเข็มพัง จึงซ่อมยากขึ้น"
ส่วนที่เชียงใหม่ ทักษิณเลือกลงพื้นที่อำเภอฝางซ้ำสอง เพื่อช่วยนายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร ด้วยกลยุทธ์ "อ้อนขอคะแนน" แบบเข้าถึงอารมณ์คนเมือง โดยเล่าว่าครั้งก่อนที่เพียงเขียนจดหมายมาขอ ยังได้คะแนนถึง 400,000 คะแนน "คราวนี้มาเองนะ ขอเต๊อะ ให้หนักกว่านั้นเน้อ" พร้อมปิดท้ายด้วยมุกขำขันว่า "ถ้ามาขอเอง แล้วแพ้ที่เชียงใหม่ อายขนาด ต้องเอาหัวใส่ปี๊บแทนหน่อไม้"
จุดเด่นของการหาเสียงครั้งนี้คือการที่ทักษิณใช้จังหวะนี้ประกาศบทบาท "สทร." (ที่ปรึกษาและยุทธศาสตร์รัฐบาล) อย่างเต็มตัว โดยประกาศชัดว่า "ขออนุญาตเสือกทุกเรื่อง" พร้อมให้คำมั่นว่า "3 ปีนี้จะทุ่มเทเต็มที่ทั้งกำลังกายและสมอง" เพื่อแก้ปัญหาประเทศ โดยมีเป้าหมายทำให้เศรษฐกิจ "รุ่งเรืองเหมือนสมัยตัวเองเป็นนายกฯ"
ด้านนโยบาย ทักษิณเน้นย้ำการแก้ปัญหาปากท้องและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะราคาสินค้าเกษตร ทั้งลำไย มันสำปะหลัง ยางพารา หอมและกระเทียม พร้อมชูความสำเร็จจากความสัมพันธ์กับจีนในการเปิดตลาดส่งออก อ้างอิงกรณีล่าสุดที่จีนประกาศรับซื้อมันสำปะหลัง 3 แสนตัน ทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้น
แผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานก็เป็นอีกประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะการปรับปรุงถนนและเส้นทางคมนาคม รวมถึงการเตรียมความพร้อมรับการเชื่อมต่อเส้นทางไฮเวย์จากประเทศลาวที่จะเข้ามาทางเชียงราย และการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวแบบ Man-made เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว
มุมมองของทักษิณต่อปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศก็น่าสนใจไม่น้อย เมื่อเขาชี้ว่าวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้แตกต่างจากปี 2540 เพราะ "วันนี้เศรษฐกิจมันพังทั่วประเทศ" พร้อมยกตัวเลขความเหลื่อมล้ำที่ "ธนาคารพาณิชย์กำไร 14% ขณะที่จีดีพีโตแค่ 3%" และปัญหา "เงินถูกดูดเข้าไปในกรุงเทพฯ หมด" จนทำให้ต่างจังหวัด "เหือดแห้งเหมือนป่าไม่มีน้ำ"
การหาเสียงครั้งนี้จึงมีนัยยะลึกกว่าการช่วยผู้สมัครท้องถิ่น แต่เป็นการปูทางสร้างฐานอำนาจในพื้นที่ภาคเหนือ เพื่อเตรียมพร้อมสู่การเลือกตั้งครั้งต่อไปที่ทักษิณหวังให้พรรคเพื่อไทย "กวาดให้เกลี้ยง" หลังจากที่ยอมรับว่า "ครั้งนี้รัฐบาลผสมมากไปหน่อย"
การเลือกตั้ง อบจ.ครั้งนี้จึงเปรียบเสมือนสนามทดสอบว่า "ขาลง" ของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้ง สส.ที่ผ่านมา จะพลิกกลับมาเป็น "ขาขึ้น" ได้อีกครั้งหรือไม่ โดยใช้ "แม่เหล็ก" อย่างทักษิณที่ประกาศชัดว่า "ไม่ไปไหนแล้ว อยู่กับพี่น้อง" เป็นจุดดึงดูดคะแนนนิยม
การลงพื้นที่ครั้งนี้ยังเป็นการตอกย้ำบทบาทของทักษิณในฐานะ "ผู้มีบารมี" เหนือทิศทางของพรรคและรัฐบาล แม้ไม่มีตำแหน่งทางการเมืองอย่างเป็นทางการ แต่การที่เขาได้ "เสือกทุกเรื่อง" ในฐานะ สทร. ก็แสดงให้เห็นชัดว่าเขายังคงเป็น "ตัวจริง" ในการกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทยและรัฐบาล
คำถามสำคัญคือ การกลับมาของทักษิณในครั้งนี้ จะสามารถปลุกกระแสความนิยมในพื้นที่ภาคเหนือให้คืนชีพได้เหมือนในอดีตหรือไม่? และแนวทางการพัฒนาที่เน้นการพึ่งพารัฐและการส่งออก จะตอบโจทย์ความท้าทายในยุคที่โลกและประเทศไทยกำลังเผชิญความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้จริงหรือ? คำตอบคงต้องรอดูผลการเลือกตั้ง อบจ.ที่กำลังจะมาถึงนี้
สรุปข่าว
ที่มาข้อมูล : TNN เรียบเรียง
ที่มารูปภาพ : เพื่อไทย