TNN ‘สิงคโปร์ขอคนแก่อยู่บ้าน 1 เดือน’ หลังผู้ป่วยทะลุ 2,000 มาสามวันติด

TNN

World

‘สิงคโปร์ขอคนแก่อยู่บ้าน 1 เดือน’ หลังผู้ป่วยทะลุ 2,000 มาสามวันติด

‘สิงคโปร์ขอคนแก่อยู่บ้าน 1 เดือน’ หลังผู้ป่วยทะลุ 2,000 มาสามวันติด

บรรดาผู้สูงวัย 60 ปีขึ้นไปในสิงคโปร์ ตอนนี้อาจต้องเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านตลอด 1 เดือนข้างหน้า

เพราะสิงคโปร์ยังคงเผชิญจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายวันสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยเมื่อวันพฤหัสบดี (30 กันยายน) พบผู้ติดเชื้อเกิน 2,000 คน ต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 แล้ว ทำให้ทางการต้องออกแถลงการณ์ว่า


"กลุ่มผู้สูงวัยนับเป็นกลุ่มเสี่ยงอย่างที่สุดต่อระบบสาธารณสุข หากพวกเขาติดเชื้อโควิด-19 จึงควรมีมาตรการเบื้องต้นเพื่อป้องกันการติดเชื้อ"


ขอคนแก่อยู่แต่ในบ้าน 1 เดือน


ทางการจึงเรียกร้องให้กลุ่มผู้สูงวัยให้เก็บตัวอยู่แต่ในบ้านเป็นเวลา 4 สัปดาห์ เว้นแต่มีเหตุจำเป็นให้ต้องออกจากบ้าน แต่ต้องหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่คนพลุกพล่าน โดยเฉพาะผู้สูงวัยที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19


ไม่เพียงเท่านี้ ยังขอให้ผู้สูงวัยหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องถอดหน้ากากอนามัย เช่น การรับประทานอาหารตามศูนย์ต่าง ๆ แต่ให้ซื้อกลับบ้านแทน


"ผู้สูงวัยควรใส่หน้ากากอนามัยเกรดการแพทย์อย่างเหมาะสมตลอดเวลา และขอให้รักษาความสะอาดให้ดี เช่น การล้างมือบ่อย ๆ และเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ จึงอยากขอให้คนกลุ่มนี้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังโรงพยาบาล" รัฐบาลระบุ


และหากพวกเขาติดเชื้อโควิด-19 แต่มีอาการเล็กน้อย หรือไม่มีอาการ ไม่จำเป็นต้องรีบไปโรงพยาบาล แต่ขอให้แยกกักตัวเองที่บ้านก่อน


ผู้ป่วยใหม่ล้วนเป็นผู้สูงวัย


สาธารณสุขสิงคโปร์ ระบุว่า "มากกว่า 25% ของผู้ติดเชื้อในชุมชน ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ล้วนแต่เป็นผู้สูงวัยอายุ 60 ปีขึ้นไป


นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา มีผู้สูงวัย 257 คน ที่ยังไม่ฉีดวัคซีน และพบว่ามีการติดเชื้อโควิด-19 แล้วอาการหนักจนต้องรักษาตัวในห้องผู้ป่วยวิกฤต หรือ ICU รวมถึงต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ หรือเสียชีวิตลง"


จากปัญหาดังกล่าว ทางการจึงพยายาบกระตุ้นให้คนวัยนี้ เข้ารับการฉีดวัคซีนให้เร็วที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อแล้วอาการหนัก ซึ่งจากการศึกษาพบว่า ผู้ที่ไม่ฉีดวัคซีนมีอาการรุนแรงกว่ากลุ่มคนที่ฉีดแล้วเกือบ 7 เท่า


ส่วนผู้สูงวัยที่ได้รับวัคซีนแล้ว ก็ขอให้ออกไปฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นได้โดยไม่จำเป็นต้องทำการนัดหมายก่อน


ยอดติดเชื้อสิงคโปร์พุ่ง ไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป


ไม่เพียงผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นสูงที่สุดนับตั้งแต่เริ่มระบาดมา ยังมีผู้เสียชีวิตมากที่สุด 8 ราย เมื่อวันพุธ (29 กันยายน) ที่ผ่านมา นับเป็นอีกหนึ่งบททดสอบสำคัญของรัฐบาลสิงคโปร์ ในการเปิดประเทศ


จำนวนผู้ติดเชื้อยังคงเพิ่มขึ้น แม้ว่ารัฐบาลสิงคโปร์จะนำมาตรการคุมเข้มบางส่วนกลับมาใช้ในประเทศอีกครั้ง เช่น ห้ามรวมตัวเกิน 2 คน จากเดิมที่ผ่อนปรนเป็น 5 คน และยังคงให้ทำงานจากที่บ้านต่อไป


ด้านผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNBC ว่า แม้จำนวนผู้ติดเชื้อในสิงคโปร์ที่เพิ่มสูงขึ้น อาจไม่ได้เป็นสิ่งที่แย่นัก เนื่องจากสิงคโปร์มีอัตราการฉีดวัคซีนให้ประชากรสูงมาก ทำให้ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่อาการเล็กน้อยเท่านั้น และไม่มีอะไรที่ต้องกังวลให้มากนัก


"สำหรับคนที่ฉีดวัคซีนแล้วติดเชื้อ จะไม่ส่งผลกระทบทั้งระยะสั้นและระยะยาวต่อสุขภาพของพวกเขา แต่จะยิ่งเป็นการกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ และลดโอกาสในการติดเชื้อได้อีก" เตียว ยิค-หยิง จากสถาบันสุขภาพซอว์สวีฮอก กล่าว


98% ผู้ติดเชื้ออาการน้อยหรือไม่มีเลย


ปัจจุบัน ชาวสิงคโปร์ได้รับวัคซีนครบแล้วมากกว่า 82% ของประชากร และพบว่า 98% ของผู้ติดเชื้อมีอาการเล็กน้อยหรือไม่มีอาการเลย ตลอดระยะ 28 วันที่ผ่านมา


เตียว ระบุว่า จำนวนผู้ติดเชื้ออาจยังสูงอยู่อีก 2-3 เดือน แต่คนส่วนใหญ่จะได้รับการปกป้องจากภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นจากวัคซีน และไม่ได้ล้มป่วยอาการหนัก


ด้าน อุ่ย อิง อ่อง ศาสตราจารย์ด้านโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ แห่งสถาบันการแพทย์ Duke-NUS ก็กล่าวไปในทิศทางเดียวกันว่า การค่อย ๆ ปล่อยให้ไวรัสแพร่เชื้ออย่างช้า ๆ ในหมู่ประชาชนนั้น กลับ "ไม่ใช่เรื่องแย่เสียทีเดียว"


ภูมิคุ้มกันช่วยลดการเสียชีวิต


สำหรับวัคซีนที่สิงคโปร์ใช้หลัก ๆ 2 ยี่ห้อคือ Pfizer-BioNTech และ Moderna ซึ่งเป็นวัคซีนประเภท mRNA ที่ทำให้ร่างกายสร้างหนามโปรตีนขึ้นมา ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่จะกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันสร้างแอนติบอดี้ ทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับการติดเชื้อได้ดี เมื่อเจอกับไวรัสตัวจริง


"หากเราติดเชื้อ ระบบภูมิคุ้มกันของเราก็จะจดจำชิ้นส่วนใหญ่ ๆ ของไวรัสได้" และทำให้คนนั้นมีความยืดหยุ่นมากขึ้นต่อสายพันธุ์ใหม่ ๆ


"แทนที่จะติดเชื้อก่อน แล้วมาฉีดวัคซีน...แต่ชาวสิงคโปร์ได้รับวัคซีนก่อนที่จะได้รับเชื้อไวรัส ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดีกว่า เพราะจะทำให้การติดเชื้ออาการจะไม่รุนแรง และอัตราเสียชีวิตจะไม่สูง เท่ากับประเทศที่เกิดการติดเชื้อรุนแรงก่อนที่จะฉีดวัคซีน" อุ่ย อิง อ่อง กล่าว



ข่าวแนะนำ