![นักลงทุนแห่เก็งกำไรทองคำไม่หยุด ดันบาทแข็งรอบเกือบ 2 สัปดาห์](/static/images/1d952118-4347-4543-8a51-4260b62d8b8c.jpg)
![นักลงทุนแห่เก็งกำไรทองคำไม่หยุด ดันบาทแข็งรอบเกือบ 2 สัปดาห์](/static/images/1d952118-4347-4543-8a51-4260b62d8b8c.jpg)
สรุปข่าว
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 33.17 บาทต่อดอลลาร์แข็งค่าขึ้นในรอบเกือบ 2 สัปดาห์นับจาก 29 ต.ค.ที่ผ่านมา จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 33.33 บาทต่อดอลลาร์ เป็นผลมาจากราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องทำให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไร
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทยังมีแนวโน้มผันผวนในกรอบเดิมต่อ โดยมีราคาทองคำเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางเงินบาทมากที่สุด (Correlation สูงกว่า 0.64 หรือ ราคาทองคำขึ้น เงินบาทก็แข็งค่าขึ้นเช่นกัน)
ทั้งนี้ผู้เล่นในตลาดอาจทยอยขายทำกำไรทองคำ หากราคาทองคำปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 1,820- 1,830 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งโฟลว์ขายทำกำไรราคาทองคำอาจช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้
อย่างไรก็ดี เงินบาทอาจไม่แข็งค่าไปมากจนหลุดระดับ 33.00 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากแนวรับเงินบาทยังอยู่ในโซน 33.00-33.10 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งผู้นำเข้ายังรอซื้อเงินดอลลาร์ แต่หากเงินบาทแข็งค่าหลุดระดับ 33.00 บาทต่อดอลลาร์ เราอาจเห็นเงินบาทแข็งค่าหนักแตะระดับ 32.80 บาทต่อดอลลาร์ได้ เนื่องจาก ผู้เล่นในตลาด โดยเฉพาะผู้เล่นต่างชาติอาจมีจุด Stop Loss แถว 33.00 บาทต่อดอลลาร์
นอกจากนี้ แม้ว่าเงินดอลลาร์จะอ่อนค่าลงในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาและช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น แต่เรามองว่า เงินดอลลาร์ยังคงผันผวนได้ทั้งสองฝั่ง โดยเงินดอลลาร์อาจอ่อนค่าลงต่อได้ หากถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดในสัปดาห์ไม่ได้ส่งสัญญาณว่าเฟดพร้อมทยอยขึ้นดอกเบี้ยได้เร็ว
อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์อาจไม่อ่อนค่าไปมากและอาจพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ หากผู้เล่นในตลาดกลับมากังวลปัญหาเงินเฟ้อสหรัฐฯ เร่งตัวขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดการทยอยลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงลงและหนุนให้ผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะถือเงินดอลลาร์เพื่อหลบความผันผวนชั่วคราวได้ มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 33.00-33.50 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.10-33.20 บาทต่อดอลลาร์
สัปดาห์ที่ผ่านมา บอนด์ยีลด์ทั่วโลกต่างปรับตัวลดลง หลังธนาคารกลางหลักต่างย้ำจุดยืนไม่รีบขึ้นดอกเบี้ย สำหรับสัปดาห์นี้ ตลาดจะจับตารายงานข้อมูลเงินเฟ้อ (CPI) ของสหรัฐฯ และมุมมองของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่อแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยปีหน้า หลังตลาดแรงงานสหรัฐฯ ฟื้นตัวดีขึ้นโดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้
ฝั่งสหรัฐฯ ไฮไลท์ของข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อ (CPI) เดือนตุลาคม ซึ่งตลาดมองว่าเงินเฟ้อ CPI อาจเร่งตัวขึ้นแตะระดับ 5.9% หนุนโดยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากการทยอยผ่อนคลายมาตรการ Lockdown และราคาสินค้าพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นมากในเดือนตุลาคม
นอกจากนี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะส่งสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะในส่วนการบริโภค สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (U of Michigan Consumer Sentiment) เดือนพฤศจิกายนที่จะปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 72.5 จุด
นอกเหนือจากรายงานข้อมูลดังกล่าว ตลาดจะรอจับตา มุมมองของบรรดาเจ้าหน้าเฟด (วันจันทร์: Clarida และ Powell, วันอังคาร: Bowman, Evans, Daly เป็นต้น) โดยเฉพาะมุมมองของประธานเฟด Powell ต่อแนวโน้มการทยอยขึ้นดอกเบี้ย
หลังล่าสุด ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ื้นตัวได้ดีกว่าคาด ขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อก็อาจอยู่ในระดับสูงนานกว่าที่เฟดเคยประเมินไว้ ทั้งนี้ หากบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ยังย้ำจุดยืนไม่รีบขึ้นดอกเบี้ย พร้อมกับไม่ได้กังวลปัญหาเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นมากนัก เราเชื่อว่ามุมมองดังกล่าวอาจหนุนให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อได้บ้าง
ฝั่งยุโรปความกังวลปัญหาเงินเฟ้ออาจทำให้ บรรดานักลงทุนสถาบันและนักวิเคราะห์ยังไม่แน่ใจแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรป ซึ่งจะสะท้อนผ่าน ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (Sentix Investor Confidence) ในเดือนพฤศจิกายน ที่อาจปรับตัวลดลงจาก 16.9 จุด สู่ระดับ 15 จุด (ดัชนี > 0 หมายถึง มุมมองที่เป็นบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในอีก 6 เดือนข้างหน้า)
นอกจากนี้ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี (ZEW Economic Sentiment) ในเดือนพฤศจิกายน ก็มีแนวโน้มชะลอลงสู่ระดับ 20 จุด เช่นกัน (ดัชนี > 0 หมายถึง มุมมองที่เป็นบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในอีก 6 เดือนข้างหน้า) จากปัญหาด้าน Supply Chain ที่ส่งผลให้เกิดปัญหา อาทิ การขาดแคลนวัตถุดิบ รวมถึงราคาสินค้าต้นทุนที่แพงขึ้น เป็นต้น ขณะเดียวกัน ปัญหาเงินเฟ้อก็อาจกดดันให้ฝั่งผู้บริโภคลดการใช้จ่ายลงได้เช่นกัน
ขณะที่ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นมุมมองนโยบายการเงินจากผู้ว่าธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) รวมถึงประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) หลังล่าสุด ทั้งสองธนาคารกลาง ต่างส่งสัญญาณไม่เร่งรีบปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งสวนทางกับสิ่งที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ทำให้บอนด์ยีลด์ยุโรปปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง
ด้านเอเชียผู้เล่นในตลาดจะจับตาปัญหาหนี้ของภาคอสังหาฯของจีน หลังเริ่มมีบางบริษัทเผชิญความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้และถูกหั่นเครดิตเรทติ้งมากขึ้น ซึ่งภาพดังกล่าวได้ส่งผลให้นักลงทุนต่างลดการถือครองหุ้นกู้เอกชนจีนทั้ง หุ้นกู้ IG (Investment Grade) และ หุ้นกู้ HY (High Yield, Junk Bond) ดังจะเห็นได้จากการที่ยีลด์ของหุ้นกู้จีนต่างปรับตัวสูงขึ้นมาก
ทั้งนี้เรามองว่าทางการจีนอาจเข้ามาช่วยประคองไม่ให้ปัญหาดังกล่าวลุกลามไปยังภาคธุรกิจอื่นๆ รวมถึงกดดันให้เศรษฐกิจซบเซาหนัก ซึ่งหากนักลงทุนมองว่าปัญหาหนี้ในภาคอสังหาฯ จีน จะสามารถคลี่คลายลงได้ การลงทุนในหุ้นกู้จีน ณ ปัจจุบัน ก็ให้ยีลด์ที่น่าสนใจ สำหรับนักลงทุนที่สามารถรับความผันผวนของราคาหุ้นกู้จีนได้
ฝั่งไทยเรามองว่า แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอย่างค่อยเป็นค่อยไป จะหนุนให้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.50% แม้ว่าอัตราเงินเฟ้ออาจมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นก็ตาม
สำหรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ดีขึ้น หลังการทยอยผ่อนคลายมาตรการ Lockdown จะช่วยให้ กนง. มีมุมมองที่เป็นบวกต่อแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจมากขึ้น และเชื่อว่า กนง. จะเริ่มส่งสัญญาณพร้อมขึ้นดอกเบี้ยได้ หากตลาดแรงงานฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนวิกฤติ COVID โดยเฉพาะการจ้างงานในภาคการบริการ ซึ่งต้องอาศัยการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ซึ่งอาจใช้เวลานานอย่างน้อยกว่า 2 ปี ถึงจะกลับมาสู่ระดับก่อนวิกฤติได้ ทำให้เราคงมองว่า กนง. จะคงดอกเบี้ยจนถึงปี 2023 หากไม่มีแรงกดดันการขึ้นดอกเบี้ยเร็วของบรรดาธนาคารกลางอื่นๆ อาทิ เฟด
ที่มา : ธนาคารกรุงไทย
ภาพประกอบข่าว : ธนาคารกรุงไทย
ที่มาข้อมูล : -