ค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาท : โอกาสแรงงาน แต่โจทย์ใหญ่ผู้ประกอบการ
รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน ได้ประกาศปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศเป็น 400 บาทต่อวัน มีผลในวันที่ 1 ตุลาคม 2567 โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงานให้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม นโยบายนี้ก็ส่งผลกระทบในหลายด้าน ทั้งต่อแรงงาน นายจ้าง และระบบเศรษฐกิจโดยรวม
ค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศ เริ่ม 1 ต.ค. 67
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ยืนยันว่า แรงงานทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศจะได้รับค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันหมดในวันที่ 1 ตุลาคม 2567 แต่ก่อนหน้านั้น จะมีการหารือกับคณะกรรมการค่าจ้างหรือไตรภาคี เพื่อศึกษาข้อมูลว่ากิจการใดมีความพร้อมหรือไม่ โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งเป็นผู้จ้างแรงงานส่วนใหญ่ เพื่อให้การช่วยเหลือที่เหมาะสม
400 บาทกระตุ้นกำลังซื้อ เงินสะพัด 9 พันล้านต่อเดือน
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ชี้ว่า การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้ จะทำให้มีเงินสะพัดเพิ่มขึ้นราว 9,000 ล้านบาทต่อเดือน หรือกว่า 7 หมื่นล้านบาทในช่วง 7 เดือนที่เหลือของปี ซึ่งจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อและเศรษฐกิจในมือแรงงานได้มาก แต่ในทางกลับกัน ผู้ประกอบการจะมองว่าเป็นการเพิ่มภาระต้นทุน และอาจส่งผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขัน
เนื่องจากไทยจะกลายเป็นประเทศที่มีค่าแรงขั้นต่ำสูงติดอันดับต้นๆ ของอาเซียน ในขณะที่คู่แข่งสำคัญอย่างเวียดนามมีค่าแรงเพียง 230 บาทต่อวัน และยังมีข้อได้เปรียบอื่นๆ เช่น ข้อตกลงการค้าเสรี การเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงถึง 5-7% ต่อปี จำนวนประชากรกว่า 100 ล้านคน และอัตราการเกิดที่เป็นบวก ทำให้เวียดนามมีเสน่ห์ในการดึงดูดการลงทุนมากกว่าไทย
โอกาสแรงงาน แต่โจทย์ใหญ่ผู้ประกอบการ
จากการสำรวจความเห็นผู้ประกอบการ ส่วนใหญ่เห็นว่า ค่าแรงขั้นต่ำที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 370 บาท หากปรับขึ้นทันทีเป็น 400 บาท จะทำให้ต้นทุนค่าแรงในบางจังหวัดสูงขึ้นกว่า 10% ในขณะที่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ โดยคาดว่าจะขยายตัวต่ำกว่า 3% จึงคาดว่า ผู้ประกอบการจำนวนหนึ่งอาจปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการ 15% ขึ้นไป หรือลดปริมาณการผลิตลง เพื่อชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อภาวะเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้ ถือเป็นความหวังของผู้ใช้แรงงานจำนวนมากที่จะมีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่นอกจากค่าแรงแล้ว พวกเขายังมีข้อเรียกร้องอื่นๆ ต่อภาครัฐด้วย ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงระบบประกันสังคม การจัดตั้งโรงพยาบาลประกันสังคมและธนาคารแรงงาน การเพิ่มสวัสดิการหลังเกษียณ การดูแลความปลอดภัยในการทำงาน และการจ่ายค่ารักษาพยาบาลเต็มจำนวนจนกว่าจะหายเมื่อเจ็บป่วยจากการทำงาน
ดังนั้น การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาททั่วประเทศ แม้จะช่วยให้แรงงานมีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่ก็อาจส่งผลกระทบด้านลบต่อผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs ในแง่ของต้นทุนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงอาจมีผลต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศในภาพรวม โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับคู่แข่งสำคัญอย่างเวียดนามที่มีข้อได้เปรียบหลายด้าน ดังนั้น ภาครัฐจึงจำเป็นต้องพิจารณาถึงแนวทางเยียวยาและช่วยเหลือที่เหมาะสมแก่ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ ขณะเดียวกันก็ต้องยกระดับทักษะและประสิทธิภาพของแรงงานให้สอดคล้องกับค่าแรงที่ปรับเพิ่มขึ้น เพื่อรักษาสมดุลและความยั่งยืนของทั้งนายจ้าง ลูกจ้าง และระบบเศรษฐกิจในระยะยาว
ข่าวแนะนำ