รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเผชิญการสูญเสียรายได้ครั้งใหญ่ เมื่อชาวสหรัฐฯ พร้อมใจกันหลีกเลี่ยงภาษี ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่ง ถูกเชื่อมโยงจากการปรับลดงบประมาณของกรมสรรพากรสหรัฐฯ ในยุคของ “โดนัลด์ ทรัมป์” โดยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ อาจทำให้รัฐบาลกลางต้องสูญเสียรายได้สูงถึง 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
"The Washington Post" รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวระบุว่า เจ้าหน้าที่ของกรมสรรพากรสหรัฐฯ (IRS) และกระทรวงการคลัง ได้คาดการณ์ว่ารายได้จากการจัดเก็บภาษี นับจนถึงวันที่ 15 เมษายนนี้ จะลดลงมากกว่าร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยการสูญเสียรายได้จากภาษีที่ระดับดังกล่าว เป็นสิ่งที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากมีบุคคลและธุรกิจจำนวนมากขึ้น ที่ไม่ยื่นแบบแสดงรายการภาษี หรือพยายามหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีที่ค้างชำระให้กับกรมสรรพากรสหรัฐฯ ซึ่งรายงานระบุว่ารายได้ของรัฐบาลกลางที่สูญเสียไป อาจสูงถึง 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เจ้าหน้าที่ระบุว่าการคาดการณ์นี้ เชื่อมโยงโดยตรงกับพฤติกรรมของผู้เสียภาษีที่เปลี่ยนแปลงไป และการปรับลดงบประมาณของกรมสรรพากรสหรัฐฯ ในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
สรุปข่าว
รายงานของ "The Washington Post" ยังระบุด้วยว่า มีการคาดการณ์ว่าพนักงานหลายพันคนจะตกงานในหน่วยงานนี้ อันเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการลดค่าใช้จ่ายของกระทรวงประสิทธิภาพภาครัฐ ที่นำโดย "อีลอน มัสก์" ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญต่างเตือนว่า การปรับลดงบประมาณในช่วงฤดูการยื่นภาษี อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผู้ยื่นภาษี
นอกจากนี้ กรมสรรพากรสหรัฐฯ ยังสังเกตเห็นว่า มีการพูดคุยกันทางออนไลน์เพิ่มขึ้น เกี่ยวกับผู้คนที่ระบุว่าพวกเขาจะไม่จ่ายภาษีในปีนี้ หรือจะยื่นขอคืนภาษีอย่างก้าวร้าวในลักษณะที่เสี่ยงต่อการถูกตรวจสอบ แต่อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังสหรัฐฯ บอกกับ "The Washington Post" ว่ารายงานดังกล่าวเป็น “เรื่องเกินจริงและไม่มีมูลความจริง”

อาทิตย์ คุสิตา