

สรุปข่าว
สกุลเงินดิจิทัล จะเกิดขึ้นมาได้เพียง 12 ปี แต่ก็ได้รับความนิยมขยายไปทั่วโลกจนกลายเป็นแหล่งลงทุนที่สำคัญของนักลงทุนยุคใหม่ และกำลังจะมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนโฉมหน้าระบบการค้า และการเงินในอนาคต ซึ่งในขณะนี้ ก็ได้เริ่มเข้ามาใช้ซื้อขายสินค้าจริงได้แล้ว
แม้ว่าสกุลเงินดิจิทัล จะเกิดขึ้นมาได้เพียง 12 ปี แต่ก็ได้รับความนิยมขยายไปทั่วโลกจนกลายเป็นแหล่งลงทุนที่สำคัญของนักลงทุนยุคใหม่ และกำลังจะมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนโฉมหน้าระบบการค้า และการเงินในอนาคต ซึ่งในขณะนี้ ก็ได้เริ่มเข้ามาใช้ซื้อขายสินค้าจริงได้แล้ว
ในส่วนของประเทศไทย ก็ได้มีการพัฒนากฎหมาย ระเบียบเฎเกณฑ์ต่างๆ รองรับเงินดิจิทัลได้อย่างรวดเร็วเป็นอันดับต้นๆ ของอาเซียน โดย นายเอกลาภ ยิ้มวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง ซิปเม็กซ์ (ZIPMEX) ประเทศไทย แพลตฟอร์มให้บริการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลอันดับต้นๆ ของไทย เปิดเผย TNN Wealth ว่า ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ไปทั่วโลกได้ส่งผลบวกต่อตลาดเงินดิจิทัลอยู่พอสมควร
โดยประเด็นหลัก ๆ จะมาจากการที่ประเทศพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะประเทศสหรัฐฯ ได้อัดฉีดเม็ดเงินเป็นจำนวนมากเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้มีประชาชนบางส่วนได้นำเงินที่ได้จากรัฐมาลงทุนในเงินดิจิทัลมากขึ้น เห็นได้จากตลาดหุ้น และตลาดเงินดิจิทัลของสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้น
นอกจากนี้ การกักตัวของประชาชนทั่วโลก ทำให้ต้องหันมาใช้ระบบออนไลน์ในการทำธุรกรรมต่าง ๆ ทั้งการซื้อขายสินค้า และการเงินมากขึ้น ทำให้ประชาชนทั่วไปคุ้นชินกับระบบดิจิทัลออนไลน์ และเข้าสู่ตลาดเงินดิจิทัลได้ง่ายขึ้น รวมทั้งเมื่อเกิดวิกฤตก็เป็นแรงผลักดันให้ผู้คนนำสินทรัพย์มาเก็บออมในรูปแบบของเงินดิจิทัลมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม มองว่าหากปัญหาโควิด-19 ลากยาวนานออกไปก็จะส่งผลเสีย ทำให้คนส่วนหนึ่งถอนเงินดิจิทัลออกมาใช้จ่าย ผู้คนจะมีเงินน้อยลงและลดการลงทุน และบางส่วนอาจหาโอกาสลงทุนในด้านอื่น เพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงหลังโควิด-19 เพื่อทำกำไรในอนาคต
แต่ทั้งนี้ มองว่าตลาดเงินดิจิทัลยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี ซึ่งเป็นผลมาจากการที่หลายประเทศได้ให้การยอมรับเงินดิจิทัลมากขึ้น เช่น ประเทศเยอรมันอนุญาตให้กองทุนเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลได้ในสัดส่วนไม่เกิน 20%
ทางสหรัฐฯ บริษัทโกลแมนแซค ได้เปิดผลิตภัณฑ์บิทคอยน์ให้กับนักลงทุนรายย่อยแล้ว จนถึงขั้นที่ประธาน กลต. สหรัฐฯ ออกมาพูดว่าจะเห็นบิดคอยน์ฟิวเจอร์ในเร็ว ๆ นี้ เห็นได้ว่าเงินดิจิทัลได้รับการยอมรับมากขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
โครงสร้างของสินทรัพย์ดิจิทัลมั่นคงมากขึ้น นโยบายจุดยืนของแต่ละองค์กรทั่วโลกเป็นบวกขึ้นเรื่อย ๆ เราเห็นว่ามีกองทุนอนุญาตเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ทำให้มีเงินทุนไหลเข้ามาในตลาดถูกต้องตามกฎหมายเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้สื่อมวลชนให้ความสนใจ รวมไปถึงโซเชียลมีเดียบางรายให้มีการโฆษณาสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัลแล้ว มีการพัฒนาทำให้มุมมองต่อเงินดิจิทัลเป็นบวก
รวมทั้งบางประเทศยังได้เปิดรับเงินบิดคอยน์เป็นเงินตราของประเทศได้เลย เช่น เอลซัลวาดอร์ และในประเทศที่เศรษฐกิจมีปัญหาเงินเฟ้อสูงก็จะใช้บิทคอยน์ หรือทอง ป้องกันไม่ให้เงินเฟ้อ จึงเชื่อว่าเงินดิจิทัลจะมีเสถียรภาพความมั่นคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
โดยในปัจจุบันตลาดเงินดิจิทัลมีมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว ในขณะที่ตลาดทองคำอยู่ที่ 9 ล้านล้านดอลลาร์ เห็นได้ว่าตลาดเงินดิจิทัลเติบโตขึ้นมาก ซึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ราคาบิทคอยน์ยังไม่ลดลง และฐานกว้างขึ้นเรื่อยๆ และผันผวนน้อยลง
สำหรับประเทศไทยในเดือน ก.ค. 2564 มีมูลค่าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลอยู่ที่ 9 พันล้านบาท และตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันอยู่ที่ 2.14 แสนล้านบาท และจะสูงต่อไปเรื่อย ๆ เนื่องจากเป็นตลาดแบบใหม่จะได้รับความสนใจมาก มั่นใจว่าในปีนี้จะเกิน 5 แสนล้านบาท
ในส่วนของซิปเม็กซ์ ก็ขยายตัวเพิ่มขึ้นมาก หลังจากเปิดตัวมาได้ปีกว่าก็มีลูกค้าที่เข้ามาเปิดบัญชีกับซิปเม็กซ์แล้วกว่า 1.2 แสนราย คาดว่าในสิ้นปีนี้ก็จะเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อยอีก 2-3 เท่าตัว
สำหรับแผนการดำเนินงานในอนาคต ซิปเม็กซ์จะนำสินทรัพย์ดิจิทัล ไปใช้ในการซื้อขายสินค้าจริงได้มากขึ้น ที่ผ่านมาได้ทำในเรื่องอสังหาริมทรัพย์ รถยนต์ ซื้อตั๋วชมภาพยนตร์ไปแล้ว จะขยายไปเซ็กเตอร์ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร และเซ็กเตอร์เกี่ยวกับการกีฬา เช่น ซื้อตั๋วเข้าชมฟุตบอล หรือของพรีเมียมทีมกีฬาต่าง ๆ แต่จากปัญหาโควิด-19 ทำให้เดินหน้าได้ไม่เต็มที่
โดยที่ผ่านมาได้ร่วมมือกับโรงแรม 4-5 ราย และร้านอาหารกว่า 10 ราย ในการใช้เงินดิจิทัลชำระค่าบริการ ผลักดันให้คนทั่วไปใช้สินทรัพย์ดิจิทัลในชีวิตจริงได้ง่ายขึ้น เช่น การใช้เงินดิจิทัลจ่ายค่าบริการโรงแรมแล้วได้ส่วนลดเพิ่ม เป็นต้น หรือถ้ามีเหรียญของโรงแรมก็จะได้โปรโมชั่นต่าง ๆ ในแต่ละปี โรงแรมจะออกมาในลักษณะโรยัลตี้พอยต์ที่สามารถซื้อขายได้
สำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ที่จะเข้ามาสู่ตลาดเงินดิจิทัล ควรเริ่มจาก 1. การนำเงินประมาณ 10% ของเงินลงทุนจากการลงทุนในด้านอื่น ๆ เช่น ตลาดหุ้น ทองคำ หรือพันธบัตร มาลงทุนเงินดิจิทัล เพื่อกระจายความเสี่ยง
2. การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ก็ต้องกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น สินทรัพย์ดิจิทัลที่มั่นคงที่สุดคือ บิทคอยน์ อันดับ 2 อีเทอเรียม และอันดับ 3 คาดาโน หากชอบเสี่ยงสูงมากจะไปลงทุนเหรียญที่เน้นเรื่องเอ็นเอฟทีก็ได้ จึงขึ้นอยู่กับลูกค้าแต่ละกลุ่มรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน
3 การปรับพอร์ต ถ้าพอร์ตสินทรัพย์ดิจิทัลที่ลงทุนไว้ 10% มีกำไรเพิ่มขึ้น ก็นำเงินที่เป็นกำไรขายออกมาไปลงทุนในหุ้น หรือซื้อพันธบัตร หรือลงทุนด้านอื่น ๆ เพื่อให้สินทรัพย์ดิจิทัลไม่เกิน 10% ของพอร์ตของเรา แต่หากเติบโตมากขึ้นอาจเพิ่มสัดส่วนไปที่ 15% ก็ได้
ทั้งนี้อยากให้ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลเพียง 10% เพราะตลาดนี้มีความผันผวน คนที่ไม่เคยเข้ามาในตลาดนี้ยังไม่เข้าใจ หากเข้ามานานกว่า 1 ปีแล้ว จะรู้มากขึ้น ก็นำข้อมูลไปวิเคราะห์ลงทุนได้ดีขึ้น โดยในปีแรกควรจะรับความเสี่ยงให้ต่ำที่สุด
นักลงทุนเมื่อลงทุนถึงระดับที่ได้รับเงินทุนคืน ควรขายเพื่อเอาเงินทุนออก ป้องกันไม่ให้ขาดทุน หากตลาดเงินดิจิทัลผันผวนสิ่งที่เสียไปแค่กำไรแต่ทุนยังอยู่ และการลงทุนควรจะทยอยลงทุนเป็นรายเดือน ไม่ควรลงทีเดียว
สำหรับ แนวโน้มตลาดเงินดิจิทัลในปี 2565 ยังตอบได้ยากจนกว่าจะเห็นตัวเลขปลายปีนี้ เชื่อว่าจะมีการปรับฐานของราคา แต่การพัฒนาการออกกฎหมายกฎเกณฑ์จะมีต่อไป โครงสร้างจะดีมากขึ้น หากปลายปีราคาบิทคอยน์เหรียญละ 3-4 ล้านบาท ก็น่าจะปรับฐานได้แล้วเพราะแพงมากแต่หากปลายปีอยู่ที่ 1.5 ล้านบาท ยังขึ้นได้อยู่ก็ต้องดูต่อไป
อย่างไรก็ตาม การลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง มีการปรับฐานโดยตลอด นักลงทุนต้องระมัดระวัง แต่ทั้งนี้ในโลกสินทรัพย์ดิจิทัลให้ผลตอบแทนมากกว่าธนาคารปกติ และมีการเปลี่ยนทรัพย์สินดิจิทัลไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงมากขึ้น เชื่อว่าจะช่วยผลักดันให้การลงทุนในเงินดิจิทัลเติบโตสูงขึ้นเรื่อยๆ
ที่มาข้อมูล : -