มองต่างมุมตลาดหุ้นไทย โอกาสทองของ VI ในรอบทศวรรษ

นับตั้งแต่ต้นปี ตลาดหุ้นไทยเผชิญกับมรสุมจากหลายด้าน จนขึ้นแท่นติดอันดับตลาดหุ้นที่ผลตอบแทนย่ำแย่ที่สุดในโลก ติดลบไปกว่า 15% ภายในเวลาเพียงแค่สามเดือน อันเนื่องมาจากศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจที่จำกัด ความกังวลต่อนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯที่ประเทศไทยอาจได้รับผลกระทบ ตลอดจนปัญหาด้านธรรมาภิบาลของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่หลายบริษัท ที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน

ย้อนกลับไปในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีเพียง 2 ครั้งเท่านั้น ที่ตลาดหุ้นไทยถูกเทขายอย่างหนักจนมี Valuation ที่ต่ำใกล้เคียงกับระดับในปัจจุบัน ครั้งแรกคือช่วงต้นปี 2016 ซึ่งตลาดหุ้นทั่วโลกปรับฐานลงจากวิกฤตราคาน้ำมันตกต่ำและการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ครั้งที่สองคือ ปี 2020 ช่วงวิกฤต COVID-19 ซึ่งตลาดหุ้นทั่วโลกและตลาดหุ้นไทยเกิดภาวะ Panic sell อย่างไรก็ตาม หากนักลงทุน “พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส” เข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงนั้น จะได้รับผลตอบแทนราว 25% และ 45% ในช่วง 1 ปีหลังจากนั้น สถิติในอดีตจึงชี้ให้เห็นว่า การเข้าลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ Valuation ปรับตัวลงมาต่ำมากในระดับ “Deep Discount” เป็นจังหวะสร้างผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยมได้

มองต่างมุมตลาดหุ้นไทย โอกาสทองของ VI ในรอบทศวรรษ

สรุปข่าว

มองต่างมุมตลาดหุ้นไทย โอกาสทองของ VI ในรอบทศวรรษ โดย ภาคภูมิ พีรยวัฒนา AFPT Senior Wealth Manager ธนาคารทิสโก้

ปัจจุบัน Valuation ของตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมาซื้อขายต่ำสุดในรอบ 10 ปีอีกครั้ง มาตรวัดมูลค่าหุ้นทุกประเภทตามแบบฉบับของนักลงทุน VI (Value Investor) ต่างบ่งชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า “มูลค่าตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับที่ถูกมากพอที่จะเข้าลงทุน” ได้แก่ 1. Forward Price Earnings Ratio ปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ระดับ 12.32 เท่า ต่ำกว่าช่วงวิกฤต COVID-19 ที่ PE ของตลาดหุ้นไทยลงไปทำจุดต่ำสุดที่ 12.9 เท่า 2. Price to Book Value อยู่ที่ระดับ 1.13 เท่า ต่ำกว่าช่วงวิกฤต COVID-19 ที่ระดับ 1.21 เท่า 3. Dividend Yield ปรับตัวขึ้นมาแตะระดับ 4.4% เป็นระดับที่ใกล้เคียงกับจุดสูงสุดช่วง COVID-19 และ 4. Earnings Yield Gap ซึ่งวัดส่วนต่างระหว่าง ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นไทย เทียบกับ ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย ที่ปรับตัวขึ้นมาแตะระดับ 3.3% ใกล้เคียงกับช่วงปี 2016


มองไปข้างหน้า ปัจจัยที่จะสนับสนุนการฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทย ได้แก่ มาตรการฟื้นฟูตลาดทุนจากตลาดหลักทรัพย์ ทั้งการออกกองทุน ThaiESG Extra ซึ่งน่าจะช่วยจำกัดแรงขายกองทุน LTF คงค้างที่มีอยู่ในตลาดราว 1.8 แสนล้านบาทลงอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงมาตรการ TISA (Thailand Individual Saving Account) ที่เป็นบัญชีการลงทุนเพื่อการเกษียณและให้สิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี ซึ่งมีแนวโน้มจะออกมาเพื่อสนับสนุนเม็ดเงินลงทุนในตลาดหุ้นในอนาคต


นอกจากนี้ ผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจน่าจะเริ่มส่งผ่านไปยังภาคเศรษฐกิจจริงมากขึ้น ทั้งในมิติของนโยบายการเงิน จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. จากระดับ 2.5% สู่ระดับ 2% ในช่วงที่ผ่านมา การผ่อนคลายเกณฑ์ LTV เพื่อกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงมิติของนโยบายการคลัง เช่น โครงการแจกเงินหมื่นเฟส 3 เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศและการเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐ โดย TISCOESU คาดการณ์ว่า GDP ปี 2025 ของไทยมีแนวโน้มเติบโตราว 2.8% ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยระยะยาวในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม มองว่าการปรับตัวลงของตลาดหุ้นไทยในครั้งนี้ ได้สะท้อนปัจจัยลบที่นักลงทุนกังวลไปมากแล้วและเป็นโอกาสลงทุนที่ดีที่สุดอีกครั้งหนึ่งในรอบทศวรรษ ซึ่งประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาชี้ว่า หากเข้าลงทุนหุ้นไทยในราคาที่ถูกมากพอ ก็สามารถสร้างผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยมได้ แม้ตลาดหุ้นไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายรอบด้านก็ตาม

ที่มาข้อมูล : ธนาคารทิสโก้

ที่มารูปภาพ : freepik

avatar

ธนวัน ปันทะโชติ

แท็กบทความ