

สรุปข่าว
วันนี้ (21 เม.ย.65) นายยุทธพงษ์ เผ่าจินดา ผู้ก่อตั้ง FlexiFarm กล่าวว่า “สถานการณ์ความเป็นอยู่ของเราในปัจจุบันมีความท้าทายมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสงคราม สภาพเศรษฐกิจ ภัยธรรมชาติ โรคระบาดและมลภาวะที่ส่งผลกระทบต่อปัจจัย 4 โดยเฉพาะเรื่องของอาหารการกินซึ่งเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญ ด้วยเหตุนี้ FlexiFarm จึงถือกำเนิดขึ้น ด้วยความมุ่งหวังที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในยุคปัจจุบันให้ดีขึ้น ส่งเสริมความมั่นคงทางด้านอาหาร รับมือกับผลกระทบและทลายข้อจำกัดต่างๆ ให้ทุกคนสามารถเข้าถึงอาหารที่ดี มีคุณภาพ สะดวกสบายและปลอดภัยได้ อีกทั้งยังเป็นโมเดลธุรกิจการปลูกผักที่ดีในอนาคต ภายใต้โซลูชั่น “คอนเทนเนอร์ฟาร์ม” ซึ่งเป็นการปลูกผักในตู้คอนเทนเนอร์ โดยคำว่า ‘Flexi’ ย่อมาจาก ‘Flexibility’ ที่สื่อถึงความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยน โยกย้าย เพื่อเข้าถึงทุกพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม และสอดคล้องกับสภาวะปัจจุบันโดยเฉพาะในเมืองที่มีพื้นที่จำกัด แต่ในความกะทัดรัดและสะดวกสบายนั้น อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยซึ่งจะช่วยให้เจ้าของตู้สามารถบริหารจัดการระบบฟาร์มได้ง่ายและมีประสิทธิภาพ ทั้งยังสามารถได้ผลผลิตที่ดี ควบคุมได้ ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพอีกด้วย”
FlexiFarm มีแนวคิดและจุดเด่นสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิต 5 ด้านหลัก ได้แก่
-สร้างเสริมสุขภาพ (Better Health) ผักจาก FlexiFarm มีความสด สะอาดและปลอดภัย เนื่องจากเป็นการปลูกในระบบปิด ซึ่งเป็นการตัดขาดจากสิ่งแวดล้อมและมลภาวะภายนอก อาทิ ฝุ่น ควัน และฝนกรด ปราศจากแมลงรบกวน จึงไม่มีการใช้ยาฆ่าแมลง ไร้พยาธิและเชื้อรา และด้วยการควบคุมกระบวนการปลูก ทั้งอุณหภูมิ น้ำ อากาศและแร่ธาตุตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้ผักเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ เหมาะสำหรับผู้รักสุขภาพ อีกทั้งยังมีรสชาติที่ดีอีกด้วย
-สร้างเสริมความมั่นคงทางอาหาร (Better Food Security) การปลูกผักในระบบปิดทำให้สามารถคำนวณปริมาณผลผลิตที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ ได้ผักได้สม่ำเสมอตลอดทั้งปี เพราะไม่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติภายนอกที่จะทำให้พืชผลเสียหายได้ เช่น น้ำท่วม ดินถล่ม และความผันผวนของสภาพดินฟ้าอากาศ อีกทั้งช่วยลดโอกาสการเน่าเสียจากแบคทีเรียในกระบวนการปลูกและเก็บเกี่ยวได้ ทำให้ผักเก็บได้นานขึ้น มีผักไว้บริโภคในทุกสถานการณ์ตลอดทั้งปี
-สร้างเสริมสมดุลระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิต (Better Work-life Balance) การปลูกผักในคอนเทนเนอร์ฟาร์มของ FlexiFarm นอกจากจะได้ผลผลิตเป็นเสบียงที่เก็บได้ใกล้ตัวเพราะสามารถยกไปตั้งใจกลางเมืองหรือแหล่งชุมชนได้ ยังสามารถต่อยอดเป็นได้ทั้งงานอดิเรกที่สร้างสรรค์และทางเลือกสำหรับการทำธุรกิจที่ดี ด้วยธรรมชาติของผักซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างต่อเนื่อง บวกกับโมเดลการบริหารจัดการที่ไม่ต้องอิงสภาพอากาศหรือปัจจัยภายนอกจึงทำให้ผู้ปลูกสามารถคาดการณ์ผลตอบแทนการลงทุน (ROI) ได้ ลดปริมาณใช้น้ำ ประหยัดเวลาที่ใช้ล้างผัก ทั้งยังใช้สมาร์ทเทคโนโลยีที่ทันสมัยช่วยในการควบคุมดูแลได้จากทุกที่ทุกเวลา จึงเป็นลักษณะธุรกิจที่เอื้อต่อการจัดสรรเวลาให้สมดุลระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิต
-สร้างเสริมสภาพแวดล้อมที่ดี (Better Environment) ด้วยปริมาณการใช้น้ำที่น้อยกว่าการปลูกผักแบบดั้งเดิมถึง 95% และใช้พื้นที่น้อยกว่า
-สร้างเสริมการเชื่อมต่อกับชุมชน (Better Community) เกษตรกร FlexiFarm สามารถนำผลผลิตไปแจกจ่ายให้ชุมชนรอบข้างได้ หรือแม้กระทั่งต่อยอดให้เป็นวิสาหกิจชุมชน อีกทั้งยังเป็นกิจกรรมที่คนในชุมชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วม ใช้เวลาอย่างมีประโยชน์ได้ร่วมกัน เป็นแหล่งเรียนรู้เทคโนโลยีการปลูกผักที่ดีให้กับลูกหลานในชุมชน รวมถึงนักศึกษาในมหาวิทยาลัยก็ได้
ทั้งนี้ คอนเทนเนอร์ฟาร์มของ FlexiFarm ติดตั้งอุปกรณ์ที่ทันสมัยและเชื่อมโยงระบบทั้งหมดเข้ากับสมาร์ทโฟน ทำให้เจ้าของตู้คอนเทนเนอร์กลายเป็นเกษตรกรยุคดิจิทัลที่สามารถควบคุมกระบวนการทุกอย่างได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส อาทิ สั่งเปิด-ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าแบบอัตโนมัติผ่านมือถือ ไม่ว่าจะเป็นหลอดไฟ LED พัดลม แอร์, ตั้งเวลาเปิด-ปิดล่วงหน้า, ตรวจสอบและปรับเปลี่ยนอุณหภูมิ ความชื้น ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์แบบเรียลไทม์ ตลอดจนสั่งควบคุมการให้น้ำและปุ๋ยให้เหมาะสมกับสภาวะของพืช
นอกจากนี้ ตัวตู้ยังถูกออกแบบให้สามารถปลูกผักได้เต็มศักยภาพของพื้นที่ มีการจัดวางจำนวนชั้นปลูกที่เหมาะสมเพื่อผลผลิตที่มากที่สุดต่อ 1 ตู้ โดยตู้มีขนาดกว้าง 2.5 เมตร ยาว 12 เมตร สูง 2.8 เมตร สามารถติดตั้งได้แม้ในบริเวณที่มีพื้นที่จำกัดและหากต้องการผลผลิตที่มากขึ้น ก็สามารถซ้อนตู้กันได้โดยไม่ต้องใช้พื้นที่เพิ่ม
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ FlexiFarm ได้ที่ https://flexifarmtech.com/ และ https://www.facebook.com/flexifarmtech/
ที่มา:FlexiFarm
ภาพประกอบ: พีอาร์ FlexiFarm
ที่มาข้อมูล : -