วิเคราะห์ 'วิกฤตน้ำซ้ำซ้อน' ภัยแล้ง-น้ำท่วม?

วิกฤตน้ำซ้ำซ้อน ภัยแล้ง-น้ำท่วม บทพิสูจน์การจัดการทรัพยากรน้ำที่ยั่งยืน

"น้ำท่วมภาคใต้ ขณะที่ภาคกลางและภาคอื่นๆ เตรียมรับมือกับภัยแล้ง" ประโยคที่ฟังดูขัดแย้งแต่กลับเป็นความจริงที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2568 นี้ แสดงให้เห็นถึงความท้าทายในการบริหารจัดการน้ำของประเทศที่มีภูมิประเทศหลากหลาย และสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

"69%" ตัวเลขที่บอกอะไรได้มากกว่าที่คิด

ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ กรมชลประทาน รายงานว่า ณ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2568 อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศมีปริมาณน้ำรวมกันประมาณ 52,000 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 69 ของความจุอ่างฯ รวมกัน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 1,099 ล้านลูกบาศก์เมตร

ตัวเลข 69% ฟังดูน่าพอใจในภาพรวม แต่ในความเป็นจริงแล้ว ปริมาณน้ำกระจายตัวไม่สม่ำเสมอทั่วประเทศ บางพื้นที่มีน้ำเกินความต้องการ ขณะที่บางพื้นที่กลับประสบภาวะขาดแคลน


วิเคราะห์ 'วิกฤตน้ำซ้ำซ้อน' ภัยแล้ง-น้ำท่วม?

สรุปข่าว

ประเทศไทยเผชิญสถานการณ์น้ำที่ขัดแย้ง ภาคใต้ประสบน้ำท่วมรุนแรงจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ขณะที่ภาคอื่นเตรียมรับมือภัยแล้งที่คาดว่าอุณหภูมิจะพุ่งถึง 45 องศา แม้ปริมาณน้ำในเขื่อนรวมอยู่ที่ 69% แต่การกระจายตัวไม่สม่ำเสมอ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นความท้าทายสำคัญที่ต้องอาศัยการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการและยั่งยืน
  • 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยาซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญของภาคกลาง 

ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณน้ำรวมกันกว่า 16,000 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือร้อยละ 67 ของความจุ ขณะที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขื่อนลำปาวมีน้ำ 1,378 ล้านลูกบาศก์เมตร (70%) และเขื่อนอุบลรัตน์ 1,601 ล้านลูกบาศก์เมตร (66%)

มุมมองเรื่อง "ความพอเพียง" ของน้ำนั้นต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะเมื่อแผนการจัดสรรน้ำต้องเผชิญกับปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทั้งสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน และปริมาณฝนที่ไม่แน่นอน

  • ภัยแล้ง 2568 อุณหภูมิพุ่ง 45 องศา - ความท้าทายที่รออยู่เบื้องหน้า

ดร.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ จากชมรมนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมไทย เปิดเผยว่า ปี 2568 จะเป็นปีที่ไทยเผชิญอุณหภูมิสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน คาดว่าอุณหภูมิจะพุ่งสูงถึง 45 องศาเซลเซียสในบางพื้นที่ เนื่องจากปรากฏการณ์ลานีญาจะอ่อนกำลังลงและเปลี่ยนเป็นเอลนีโญในระดับต่ำถึงปานกลาง ส่งผลให้เกิดภาวะภัยแล้งที่รุนแรงยิ่งขึ้น

แม้ว่ากรมชลประทานจะยืนยันมีปริมาณน้ำเพียงพอสำหรับทุกกิจกรรมตลอดฤดูแล้งนี้ และมีการคาดการณ์ว่าประเทศไทยจะมีปริมาณฝนมากกว่าปกติประมาณร้อยละ 9 แต่ "ดร.สนธิ" ยังเตือนว่าการกระจายตัวของฝนอาจไม่สม่ำเสมอ ภาคอีสานอาจประสบปัญหาน้ำไม่เพียงพอ ในขณะเดียวกัน บางพื้นที่อาจเกิดฝนตกหนักฉับพลัน ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมในช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม

สถานการณ์ความรุนแรงทางภูมิอากาศในปี 2568 มีสาเหตุสำคัญจากการเพิ่มขึ้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งปี 2567 ที่ผ่านมามีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นกว่า 1.5 องศาเซลเซียสจากยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม ส่งผลให้การเพาะปลูกข้าวนาปรังกว่า 9 ล้านไร่ที่เป็นไปตามแผนจะต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างมาก ซึ่งเป็นประเด็นที่ทั้งหน่วยงานภาครัฐและเกษตรกรต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ

  • ความย้อนแย้งของธรรมชาติ น้ำท่วมภาคใต้ ท่ามกลางการเตรียมรับภัยแล้ง

ขณะที่ภาคกลางและภาคอื่นๆ เตรียมตัวรับมือกับหน้าแล้ง ชาวภาคใต้กลับต้องเผชิญกับน้ำท่วมฉับพลัน "พันบ้านจมบาดาล" จากพายุฝนที่ถาโถมลงมาอย่างต่อเนื่อง มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยมีกำลังแรง ฝนตกหนักและสะสมกว่า 155 มิลลิเมตร ส่งผลให้เกิดน้ำป่าไหลหลากลงจากเทือกเขาสู่พื้นที่ต่ำ ถนนจมใต้น้ำ บ้านเรือนจมบาดาล และผู้คนตกอยู่ในภาวะเดือดร้อนครั้งแล้วครั้งเล่า

พื้นที่วิกฤตแบกรับน้ำหลากไม่ทั่วถึงกัน จ.สงขลา โดยเฉพาะย่านถนนกาญจนวนิช น้ำท่วมสูง 30-50 เซนติเมตร ระยะทางกว่า 2 กิโลเมตร เจ้าหน้าที่ต้องปิดกั้นถนนบางส่วน ขณะที่ จ.พัทลุง น้ำป่าจากเทือกเขาบรรทัดทะลักท่วมเส้นทางสายพัทลุง-ตรัง ยาวกว่า 1 กิโลเมตร ชาวบ้านต.แพรกหาและต.ขยาด อ.ควนขนุน รับมือไม่ทัน ข้าวของเสียหายมากมาย "ชาวบ้านขนย้ายข้าวของไม่ทัน" ข้าวของถูกน้ำพัดพาและเสียหาย

ที่ จ.นครศรีธรรมราช และ จ.สุราษฎร์ธานี น้ำป่าไหลหลากอย่างรุนแรง คลองลำพูนน้ำเพิ่มสูงขึ้น "น้ำไหลเชี่ยว" ทำลายถนนเชื่อมระหว่างหมู่บ้าน หลายพื้นที่ถูกตัดขาด ชาวบ้านไม่สามารถสัญจรไปมาได้ เหตุการณ์น้ำท่วมเกิดซ้ำซากในพื้นที่เดิมทุกครั้งที่ฝนตกหนัก ทั้งที่ยังไม่ได้รับเงินเยียวยาจากน้ำท่วมรอบก่อนช่วงปลายปี 2567 "ยังไม่รู้ว่าจะได้รับเงินเยียวยาเมื่อใด" ชาวบ้านทวงถามความช่วยเหลือที่ล่าช้า

  • บทพิสูจน์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่ยั่งยืน

สถานการณ์น้ำของประเทศไทยที่เราเผชิญอยู่ในขณะนี้ ไม่เพียงแต่เป็นความท้าทายในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังเป็นบทพิสูจน์ความสามารถในการวางแผนระยะยาวเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน

กรมชลประทานได้ดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับการปรับปฏิทินการเพาะปลูก รวมถึงติดตั้งเครื่องสูบน้ำช่วยเหลือเกษตรกรทั่วประเทศ และกำจัดวัชพืชและสิ่งกีดขวางทางน้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาคุณภาพน้ำและเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ

ความท้าทายของมาตรการเหล่านี้อยู่ที่ความเพียงพอในการรับมือกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และการแก้ไขปัญหาที่รากเหง้าอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงการแก้ไขปลายเหตุ

  • มองไปข้างหน้า ทางออกที่ยั่งยืน

การแก้ไขปัญหาน้ำอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องมองภาพรวมและเชื่อมโยงทุกมิติเข้าด้วยกัน ทั้งด้านเกษตรกรรม การพัฒนาเมือง การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน

ความพร้อมของประเทศไทยในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในระยะยาวนั้น ไม่ได้วัดเพียงแค่ตัวเลขปริมาณน้ำในเขื่อน แต่อยู่ที่วิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นในการพัฒนาระบบการจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน

นี่คือโอกาสที่ประเทศไทยจะได้พัฒนาและปรับตัวให้ทันกับความท้าทายด้านทรัพยากรน้ำในอนาคต ด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน หรือประชาชนทั่วไป เพราะ "น้ำ" ไม่ใช่เพียงทรัพยากร แต่เป็นรากฐานของชีวิตและความเป็นอยู่ของคนไทยทุกคน

ที่มาข้อมูล : TNN เรียบเรียง

ที่มารูปภาพ : Freepik

avatar

ยศไกรรัตนบรรเทิง
(เบน)