วิกฤตศรัทธาวุฒิสภา จับตาดีเอสไอรับคดีฮั้วเลือก สว. 2567 (25 ก.พ.)

วิกฤตศรัทธาวุฒิสภา จับตาดีเอสไอรับคดีฮั้วเลือก สว. ท่ามกลางสมรภูมิอำนาจตรวจสอบ

ชนวนปะทุความขัดแย้ง ดีเอสไอ vs วุฒิสภา

ความเคลื่อนไหวล่าสุดในวงการการเมืองไทยกำลังจับจ้องไปที่การประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการตรวจสอบกระบวนการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ชุดปี 2567 โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เตรียมเสนอให้รับเป็นคดีพิเศษ ท่ามกลางการคัดค้านอย่างหนักจากฝ่ายวุฒิสภา

การประชุมครั้งนี้จะมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน พร้อมด้วยพันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะรองประธาน โดยการรับเป็นคดีพิเศษต้องได้รับคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของคณะกรรมการทั้งหมด

หลักฐานสำคัญที่นำมาสู่การตรวจสอบ

ดีเอสไอได้เปิดเผยหลักฐานที่น่าตกใจเกี่ยวกับการทุจริตในกระบวนการเลือก สว. โดยพบการจัดทำ "โพยฮั้ว" ที่ระบุรายชื่อผู้สมัครกลุ่มละ 7 คน รวม 140 คน ซึ่งผลการเลือกตั้งปรากฏว่าตรงกับโพยถึง 138 คน สะท้อนให้เห็นถึงการวางแผนอย่างเป็นระบบ

นอกจากนี้ ยังพบหลักฐานการจ่ายเงินในหลายระดับ ตั้งแต่ 5,000 บาทไปจนถึง 100,000 บาท มีการจ่ายเงินมัดจำ 20,000 บาท และจะจ่ายส่วนที่เหลือหลังจาก กกต. รับรองผล รวมถึงการจัดรถรับส่งและแจกเสื้อสีเหลืองให้กับผู้สมัครในหลายจังหวัด

วิกฤตศรัทธาวุฒิสภา จับตาดีเอสไอรับคดีฮั้วเลือก สว. 2567 (25 ก.พ.)

สรุปข่าว

ดีเอสไอเตรียมเสนอรับคดีฮั้วเลือก สว. เป็นคดีพิเศษ หลังพบหลักฐานโพยรายชื่อตรงกับผลเลือกตั้ง 138 คน พร้อมพบการจ่ายเงิน 5,000-100,000 บาท สร้างความขัดแย้งกับวุฒิสภาที่ยืนยันเป็นอำนาจ กกต. ขณะที่นักวิเคราะห์มองเป็นการต่อรองอำนาจทางการเมือง การประชุมวันที่ 25 ก.พ. จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการเมืองไทย
  • ความขัดแย้งเรื่องอำนาจการตรวจสอบ

ประเด็นร้อนที่กำลังเป็นที่ถกเถียงคือเรื่องอำนาจการตรวจสอบ โดยนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ยืนยันว่าการตรวจสอบการเลือก สว. เป็นอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งขัดแย้งกับการดำเนินการของดีเอสไอที่อ้างว่าคดีนี้มีลักษณะพิเศษที่ต้องใช้วิธีการสืบสวนสอบสวนเป็นพิเศษ

ล่าสุดวันนี้ 24 ก.พ. 68 วุฒิสภาได้จัดประชุมวิปวุฒิสภาเป็นการด่วนเป็นเวลา 1 ชั่วโมง โดยไม่เปิดให้สื่อมวลชนเข้าร่วม เพื่อหารือแนวทางรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยมีการวางแผนใช้กลไกการตั้งกระทู้และการอภิปรายทั่วไปเพื่อตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร

  • มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญและนักวิเคราะห์

การดำเนินการของดีเอสไอในครั้งนี้ได้สร้างความสนใจและการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในแวดวงวิชาการและการเมือง 

โดยนายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ได้วิเคราะห์ว่าการดำเนินการครั้งนี้สะท้อนถึงการเมืองระดับสูงที่มุ่งใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือต่อรองอำนาจในพรรคร่วมรัฐบาล นายจตุพรชี้ให้เห็นว่าการตั้งข้อหาหนักอย่าง "อั้งยี่-ซ่องโจร" กับสมาชิกฝ่ายนิติบัญญัติอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นจุดอ่อนไหวระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล นอกจากนี้ เขายังตั้งข้อสังเกตว่าหากการเลือก สว. มีการฮั้วกันจริง คนที่ควรถูกดำเนินคดีก่อนคือ กกต. ในฐานะผู้รับผิดชอบจัดการเลือกตั้งและรับรองผล

ในทางตรงกันข้าม ดร.ดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม ประธานสถาบันสุจริตไทยและอดีต สว. นำเสนอมุมมองที่แตกต่าง โดยวิเคราะห์ว่าการเข้ามาตรวจสอบของดีเอสไอเป็นการดำเนินการที่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากกระบวนการยุติธรรมทางปกครองมีข้อจำกัด และ กกต. ไม่ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ในการตรวจสอบความผิดปกติ ดร.ดิเรกฤทธิ์ยังเน้นย้ำว่าในระบอบประชาธิปไตย ไม่มีการใช้อำนาจใดที่ไม่ถูกตรวจสอบ การที่ดีเอสไอใช้ฐานความผิดทางอาญาเข้าตรวจสอบจึงเป็นกลไกที่จำเป็น โดยเฉพาะเมื่อพบหลักฐานบัตรเลือก สว. ที่มีการล็อคเลขเป็นชุด ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความไม่บริสุทธิ์ยุติธรรมในกระบวนการเลือกตั้ง

มุมมองที่แตกต่างของผู้เชี่ยวชาญทั้งสองท่านสะท้อนให้เห็นความซับซ้อนของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ระหว่างการใช้กระบวนการยุติธรรมเพื่อตรวจสอบความโปร่งใส กับความเสี่ยงที่กระบวนการยุติธรรมอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ซึ่งท้ายที่สุดแล้วอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อทั้งระบบการเมืองและกระบวนการยุติธรรม


  • ความท้าทายของระบบเลือก สว.

การเลือก สว. ปี 2567 เป็นการใช้ระบบ "เลือกกันเอง" ครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย โดยแบ่งผู้สมัครเป็น 20 กลุ่มอาชีพ มีการเลือกตั้งแบบไต่ระดับตั้งแต่ระดับอำเภอจนถึงระดับประเทศ ระบบนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ได้ผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายสาขา แต่กลับถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีจุดอ่อนในหลายขั้นตอน

กระบวนการเลือกตั้งแบบไต่ระดับนี้เริ่มต้นจากระดับอำเภอ ที่ผู้สมัครจะเลือกกันเองภายในกลุ่มอาชีพ ก่อนจะมีการเลือกไขว้กับกลุ่มอื่น จากนั้นผู้ที่ผ่านเข้ารอบจะไปเลือกกันในระดับจังหวัด และสุดท้ายคือการเลือกระดับประเทศ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเลือกตั้งชี้ว่า การที่ผู้สมัครต้องพบปะและเลือกกันเองหลายรอบ อาจเปิดโอกาสให้มีการพูดคุย ตกลง หรือสร้างเครือข่ายระหว่างกันได้ง่าย โดยเฉพาะในขั้นตอนการเลือกไขว้ระหว่างกลุ่มอาชีพ

นอกจากนี้ ระบบการนับคะแนนที่ซับซ้อนและการที่ผู้สมัครต้องจดจำหมายเลขผู้สมัครจำนวนมาก ยังอาจเป็นช่องทางให้มีการจัดทำเอกสารช่วยจำหรือการสื่อสารระหว่างกลุ่มผู้สมัคร ซึ่งแม้จะไม่ผิดกฎหมายในตัวเอง แต่อาจถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสมได้ ประกอบกับการที่ผู้สมัครต้องเดินทางไปยังสถานที่เลือกตั้งหลายครั้ง ยังอาจเปิดโอกาสให้มีการจัดการเรื่องการเดินทางและค่าใช้จ่ายในรูปแบบต่างๆ ที่อาจกระทบต่อความบริสุทธิ์ยุติธรรมของการเลือกตั้ง

  • ผลกระทบและความเสี่ยงต่อระบบการเมือง

หากดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ อาจส่งผลกระทบในวงกว้างต่อระบบการเมืองไทย โดยเฉพาะความชอบธรรมของวุฒิสภาทั้งองค์กร การตั้งข้อหาร้ายแรงอย่างความผิดฐานอั้งยี่และความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ อาจนำไปสู่การเพิกถอนสถานภาพ สว. จำนวนมาก และอาจต้องมีการทบทวนระบบการได้มาซึ่ง สว. ทั้งระบบ

  • แนวโน้มและทางออก

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นความจำเป็นในการปฏิรูประบบการได้มาซึ่ง สว. ให้มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้มากขึ้น รวมถึงการทบทวนระบบการตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างองค์กรอิสระ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งในลักษณะนี้อีกในอนาคต

ไม่ว่าผลการพิจารณาของคณะกรรมการคดีพิเศษจะออกมาอย่างไร คดีนี้ได้กลายเป็นบททดสอบสำคัญของกระบวนการยุติธรรมไทยและระบบการตรวจสอบถ่วงดุลทางการเมือง ที่จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อสถาบันทางการเมืองในระยะยาว

ที่มาข้อมูล : TNN เรียบเรียง

ที่มารูปภาพ : TNN / Freepik

avatar

ยศไกรรัตนบรรเทิง
()

แท็กบทความ

ดีเอสไอ
วุฒิสภา
ฮั้วเลือกตั้ง
กกต.
โพยเลือกตั้ง
มงคล สุระสัจจะ