ตื่นเช้ามาวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 หลายคนคงตกใจที่เห็นราคาทองในประเทศดิ่งลง 600 บาทต่อบาททองคำ หลังจากที่เมื่อวานยังปรับขึ้น 50 บาท โดยราคาทองคำแท่งรับซื้อที่บาทละ 46,050 บาท ขายออกบาทละ 46,150 บาท ส่วนทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 45,222.28 บาท ขายออกบาทละ 46,650 บาท แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ราคาทองร่วงแรงขนาดนี้?
"เกมการค้าโลก" ที่กำลังร้อนระอุ คือกุญแจสำคัญ เมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ลงนามในบันทึกเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ เตรียมเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้กับทุกประเทศที่เก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ โดยจะมีผลหลังการศึกษาแล้วเสร็จในวันที่ 1 เมษายน 2568
สรุปข่าว
สถานการณ์นี้ส่งผลให้เกิดแรงขายทำกำไรในตลาดทองคำโลก จนทำให้สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนเมษายน ร่วงลง 44.70 ดอลลาร์ หรือ 1.52% ปิดที่ 2,900.70 ดอลลาร์ต่อออนซ์
แต่น่าสนใจว่า แม้ราคาจะร่วงแรง แต่ทองคำยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 7 แล้ว เนื่องจากนักลงทุนยังกังวลเรื่องสงครามการค้าและภาวะเงินเฟ้อที่อาจเกิดขึ้น ทำให้ยังมองทองคำเป็น "สินทรัพย์ปลอดภัย"
สำหรับเศรษฐกิจไทย ธนาคารโลกได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตปี 2568 เหลือ 2.9% จากเดิม 3.0% แต่ยังเร่งตัวขึ้นจากปี 2567 ที่ขยายตัว 2.6% โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 0.8% ต่ำกว่ากรอบเป้าหมายของ ธปท. ที่ 1.0-3.0%
คำถามสำคัญคือ การร่วงของราคาทองครั้งนี้เป็นจังหวะซื้อหรือไม่? ปัจจัยพื้นฐานชี้ว่าราคาทองยังมีแนวโน้มขาขึ้น ทั้งจากภาวะเงินเฟ้อ ดอลลาร์ที่อ่อนค่า และแนวโน้มที่นักลงทุนจะย้ายจากสัญญาทองคำมาถือครองทองคำแท่งมากขึ้น สอดคล้องกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคจากฮั่วเซ่งเฮงที่ชี้ว่า แม้ทองคำจะเข้าสู่ภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) แต่ยังไม่มีสัญญาณกลับตัวชัดเจน โดยมีโอกาสทะลุแนวต้านที่เคยทำสถิติสูงสุด (All-Time High) ที่ 2,942 ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวรับสำคัญที่ 2,900 และ 2,880 ดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดคือการตอบสนองของประเทศต่างๆ ต่อนโยบายภาษีสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลต่อทิศทางการค้าโลกและราคาทองในระยะต่อไป หากราคาหลุดแนวรับสำคัญลงมา อาจต้องทบทวนกลยุทธ์การลงทุนใหม่