"คนป่วยยังทำงาน-ติดเชื้อข้ามสายพันธุ์" เปิด 8 ปัจจัยเสี่ยง ทำไข้หวัดใหญ่ระบาดหนักเกินคาด

สถิติการระบาดและผลกระทบทางเศรษฐกิจการระบาดของไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทยพบว่าผู้ป่วยอาการไม่รุนแรงส่วนใหญ่เลือกรักษาตัวเองหรือไปคลินิกเอกชนโดยไม่แจ้งหน่วยงาน สถานการณ์นี้ส่งผลให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจรวม 2.4 พันล้านบาทต่อปี แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล 1.1 พันล้านบาท และการสูญเสียผลิตภาพจากการขาดงานอีก 1.3 พันล้านบาท  

ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี เปิดเผยกับ TNN ONLINE ว่าการระบาดของไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทยปี 2568 ชี้ให้เห็นปัญหาสำคัญ ทั้งระบบรายงานผู้ติดเชื้อที่ไม่สมบูรณ์ ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงทรัพยากรสาธารณสุข และสภาพแวดล้อมเสี่ยงในเรือนจำ ขณะเดียวกัน เด็กปฐมวัยมีภูมิคุ้มกันลดลงจากมาตรการโควิด-19 ส่งผลให้อัตราการติดเชื้อรุนแรงเพิ่มขึ้น 

โดยปัจจัยสำคัญที่ไม่อาจมองข้าม คือ "วัฒนธรรมทำงานทั้งที่ป่วย" ส่งผลให้อัตราการแพร่เชื้อในออฟฟิศและนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นกว่า 22%  นอกจากนี้ การระบาดของไข้หวัดนกในประเทศเพื่อนบ้านยิ่งเพิ่มความเสี่ยงของการกลายพันธุ์

"คนป่วยยังทำงาน-ติดเชื้อข้ามสายพันธุ์" เปิด 8 ปัจจัยเสี่ยง ทำไข้หวัดใหญ่ระบาดหนักเกินคาด

สรุปข่าว

การระบาดของไข้หวัดใหญ่ปี 2568 เผยให้เห็นปัญหาสำคัญ ทั้งระบบรายงานผู้ติดเชื้อที่ไม่สมบูรณ์ ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงทรัพยากรสาธารณสุข รวมไปถึง "วัฒนธรรมทำงานทั้งที่ป่วย" ส่งผลให้อัตราการแพร่เชื้อในออฟฟิศและนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นกว่า 22%


8 ปัญหาซ่อนเร้น ปัจจัยเสี่ยงไข้หวัดใหญ่ระบาด

หัวหน้าศูนย์จีโนมทางการแพทย์ เปิดเผย 8 ปัจจัยสำคัญที่กำลังกลายเป็นปัญหาซ่อนเร้น ที่ทำให้ไข้หวัดใหญ่พบการระบาดพุ่งสูงขึ้น โดยจัดลำดับความสำคัญจากผลกระทบสูงสุดดังนี้ 

 1. ระบบรายงานไม่สมบูรณ์และคลาดเคลื่อน  

ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขปี 2567 ชี้ว่า 30-40% ของผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ไม่ถูกบันทึกในระบบ เนื่องจากผู้มีอาการเล็กน้อยนิยมรักษาตัวเองหรือใช้บริการคลินิกเอกชน สถานการณ์นี้ส่งผลให้การประเมินความรุนแรงของโรคผิดพลาด โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงานที่มักหลีกเลี่ยงการลาป่วยเนื่องจากกังวลเรื่องการหักเงินเดือน  ทำให้มีการแพร่ระบาดของโรคเพิ่มมากขึ้น

 2. ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงทรัพยากรสาธารณสุข  

ข้อมูลอัปเดตปี 2566 จากกรมการแพทย์ระบุว่าไทยมีเครื่องช่วยหายใจ  เครื่องทั่วประเทศ แต่กว่า 40% กระจุกตัวอยู่ในโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ ในจังหวัดชายแดนใต้ยังพบปัญหาขาดแคลนชุด PPE และบุคลากรฝึกอบรม ขณะที่โรงพยาบาลชุมชนบางแห่งมีเครื่องช่วยหายใจไม่เกิน 5 เครื่องต่อแห่ง  

 3. สภาพแวดล้อมเสี่ยงในเรือนจำ  

การระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A/H3N2 ในบางเรือนจำปี 2567 ชี้ให้เห็นปัญหาความแออัด (พื้นที่บางเรือนจำเฉลี่ยน้อยกว่า 1.6 ตร.ม./คน) และการทำกิจกรรมร่วมกันแบบปิด ส่งผลให้อัตราการติดเชื้อในเรือนจำสูงกว่าชุมชนทั่วไป 3 เท่า ประสิทธิภาพวัคซีนในกลุ่มนักโทษลดลงเหลือ 39.4% เนื่องจากภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องจากโรคประจำตัวและสภาพความเป็นอยู่  

  4. ภูมิคุ้มกันขาดช่วงในเด็กปฐมวัย  

มาตรการป้องกันโควิด-19 ระหว่างปี 2563-2565 ส่งผลให้เด็กเกิดใหม่ขาดการสัมผัสเชื้อตามธรรมชาติ ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (2568) ชี้ว่าเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีในไทยมีระดับแอนติบอดีต่อ H1N1 ต่ำกว่ายุคก่อนโควิด 35-40% สอดคล้องกับการศึกษาจากโรงพยาบาลรามาธิบดีที่พบอัตราการติดเชื้อรุนแรงในเด็กกลุ่มนี้เพิ่มขึ้น 2.8 เท่า  

 ข้อมูลจากประเทศนอร์เวย์ชี้ว่าเด็กอายุต่ำกว่า 4 ปีในปี 2566 มีระดับแอนติบอดีต่อเชื้อ A(H1N1)pdm09 ลดลง 40% ส่งผลให้ประชากรเด็กกลุ่มนี้กลายเป็นกลุ่มเสี่ยงหลักในปี 2568 การศึกษาจากนิการากัวพบความเสี่ยงอาการรุนแรงในเด็กอายุ 0-4 ปีเพิ่มขึ้น 3 เท่า โดยเฉพาะกับสายพันธุ์ A/H3N2 ที่มีการกลายพันธุ์ในโปรตีน Hemagglutinin

 5. ความเสี่ยงข้ามสายพันธุ์จากสัตว์ปีก  

แม้ไทยไม่พบการระบาดไข้หวัดนก (H5N1) ในมนุษย์ตั้งแต่ปี 2549 แต่ข้อมูลล่าสุดจากองค์การสุขภาพสัตว์โลก (OIE) ระบุว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาและลาวพบการระบาดในสัตว์ปีก 15 จุดระหว่างปี 2566-2567 กรมศุลกากรไทยรายงานยึดซากสัตว์ปีกผิดกฎหมายมูลค่ากว่า 20 ล้านบาทบริเวณชายแดนตะวันออกเฉียงเหนือ สะท้อนความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและการปนเปื้อนข้ามสายพันธุ์  

 6. วัฒนธรรมการทำงานขณะป่วย  

ผลสำรวจกระทรวงแรงงานปี 2568 ในกลุ่มพนักงานออฟฟิศ 5,000 คน พบว่า 45% ยังเดินทางมาทำงานทั้งที่มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ โดย 68% ให้เหตุผลว่ากลัวถูกตัดเงินเดือนหรือตำหนิจากหัวหน้า พฤติกรรมนี้ทำให้อัตราการระบาดในนิคมอุตสาหกรรมสูงขึ้น 22% เมื่อเทียบกับปี 2566  

 7. ข้อจำกัดการวินิจฉัยแยกโรค  

การศึกษาจากคณะแพทย์ศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (2567) ในผู้ป่วย 2,000 รายที่มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ พบว่า 9.7% เป็นการติดเชื้อ human metapneumovirus (hMPV) และ 6.3% เป็น RSV ซึ่งไม่มีวัคซีนป้องกัน สถานการณ์นี้ทำให้การประมาณการจำนวนผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่คลาดเคลื่อนราว 15-20%  

 8. ผลกระทบทางเศรษฐกิจและการรักษา  

งานวิจัยจากสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจการคลัง (2568) ประเมินว่าไข้หวัดใหญ่ก่อความเสียหายทางเศรษฐกิจสูงถึง 2.3 พันล้านบาท/ปี แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาล 1.5 พันล้านบาท และสูญเสียผลิตภาพจากการขาดงาน 0.8 พันล้านบาท ทั้งที่คลินิกเอกชนเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 1,200 บาท/ครั้ง  

แนวทางรับมือการระบาดของไข้หวัดใหญ่ยุคใหม่

สถิติการระบาดและผลกระทบทางเศรษฐกิจ ในช่วงมกราคมถึงตุลาคม 2566 พบผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ที่ได้รับการยืนยันแล้วกว่า 3 แสนราย ตามรายงานของกระทรวงสาธารณสุข  ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญประมาณการว่าจำนวนผู้ติดเชื้อจริงอาจสูงถึง 1 ล้านรายต่อปี 

นั่นเป็นเพราะผู้ป่วยอาการไม่รุนแรงส่วนใหญ่เลือกรักษาตัวเองหรือไปคลินิกเอกชนโดยไม่แจ้งหน่วยงาน สถานการณ์นี้ส่งผลให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจรวม 2.4 พันล้านบาทต่อปี แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล 1.1 พันล้านบาท และการสูญเสียผลิตภาพจากการขาดงานอีก 1.3 พันล้านบาท  

การรับมือโรคไข้หวัดใหญ่ในปี 2568 ต้องอาศัยกลยุทธ์สามด้านหลัก ได้แก่ การเพิ่มความครอบคลุมของการฉีดวัคซีนโดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง การพัฒนาระบบรายงานผู้ติดเชื้อแบบเรียลไทม์เพื่อความแม่นยำ และการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมการลาป่วยเมื่อมีอาการ ทั้งนี้ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชนจะเป็นปัจจัยชี้ขาดความสำเร็จในการควบคุมการระบาด

ที่มาข้อมูล : สัมภาษณ์ , ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ฯ

ที่มารูปภาพ : Getty Immage