ยูเอ็นเผย ชาวเกาหลีเหนือ 11.8 ล้านคนขาดสารอาหาร

ในรายงานที่นำเสนอต่อสภาสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เอลิซาเบธ ซัลมอน ผู้รายงานพิเศษของยูเอ็นด้านสิทธิมนุษยชนในเกาหลีเหนือ กล่าวว่า จากปี 2020-2022 อัตราการขาดสารอาหารในเกาหลีเหนืออยู่ที่ 45.5% ในช่วงเวลานี้ ประมาณ 11.8 ล้านคนในประเทศได้รับผลกระทบจากการขาดสารอาหาร

ยูเอ็นได้กำหนดภาวะขาดสารอาหารว่าเป็นการบริโภคอาหารที่ไม่เพียงพอที่จะให้ระดับพลังงานทางโภชนาการที่จำเป็นในการรักษาชีวิตที่มีสุขภาพดีและกระฉับกระเฉงตามปกติ โดยเกาหลีเหนือต้องเผชิญกับความไม่มั่นคงทางอาหารอย่างเรื้อรังเนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานที่เก่า ขาดความสามารถในด้านเทคโนโลยีและทักษะ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ และการขาดการลงทุนในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยอ้างข้อมูลจากองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ

รายงานยังระบุว่า รัฐบาลเกาหลีเหนือดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงแนวทางการจัดการ โดยหันมาไม่สนับสนุนตลาดท้องถิ่นที่ประชาชนพึ่งพาเพื่อจัดการกับการขาดแคลนอาหารและสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน แทนที่รัฐบาลกำลังกลับมาควบคุมการจัดสรรอาหารโดยการจำกัดกิจกรรมทางการค้าเอกชน และสร้างการผูกขาดในการขายสินค้าหลัก เช่น ข้าวและข้าวโพด ซึ่งตอนนี้มีจำหน่ายเฉพาะในร้านค้าของรัฐ

รายงานยังชี้ให้เห็นว่า เกาหลีเหนือเผชิญกับปัญหาที่ยิ่งใหญ่เกี่ยวกับสุขอนามัยและการสุขาภิบาลที่ไม่เพียงพอ

องค์การอนามัยโลกได้จัดให้เกาหลีเหนือเป็นหนึ่งใน 30 ประเทศที่มีภาระโรคปอดบวมสูงสุดในปี 2023 มีรายงานบางฉบับเตือนว่า การเพิ่มขึ้นของโรคปอดบวมเชื่อมโยงกับการขาดสารอาหารอย่างรุนแรงและการสัมผัสกับอากาศหนาว

ในขณะที่อัตราการฉีดวัคซีนระดับประเทศเกิน 96% ก่อนการระบาดของ COVID-19 แต่ในกลางปี 2021 อัตรานี้ลดลงต่ำกว่า 42%

ในปี 2022 ไม่มีเด็กคนใดได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคหลัก รวมถึงวัคซีนป้องกันวัณโรค และไม่มีหญิงตั้งครรภ์คนใดได้รับวัคซีนป้องกันบาดทะยักและดิปเธอเรีย

ในเดือนกันยายน 2024 เกาหลีเหนือได้เริ่มแคมเปญการฉีดวัคซีนทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายฉีดวัคซีนให้กับเด็กกว่า 800,000 คน และหญิงตั้งครรภ์ 120,000 คน ซึ่งเป็นการฉีดวัคซีนทดแทนหลังจากที่การระบาดของโรค COVID-19 ทำให้เกิดการหยุดชะงัก

ในเกาหลีเหนือ 52% ของครัวเรือนพึ่งพาสถานที่สุขาภิบาลที่ไม่ได้รับการปรับปรุง และการกำจัดขยะที่ไม่ปลอดภัยจากระบบสุขาภิบาลที่ได้รับการปรับปรุงส่งผลให้เกิดการระบาดของโรคท้องร่วง ซึ่งยิ่งทำให้การขาดสารอาหารรุนแรงขึ้น

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จากยูเอ็นและองค์กรด้านมนุษยธรรมและการพัฒนาหลายแห่งยังคงไม่สามารถกลับไปยังประเทศที่มีความโดดเดี่ยวนี้ได้ ทำให้การช่วยเหลือจากยูเอ็นและการประเมินสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมจากภายนอกเป็นไปไม่ได้