ศาลทหารเปิด-คัดเลือกทหารเปลี่ยน ตอบโจทย์ประชาชนจริงหรือ?
"กองทัพไทยก้าวไกล จากปฏิรูปศาลทหารถึงการคัดเลือกทหารกองเกิน
วันนี้กองทัพไทยกำลังเดินหน้าปรับตัวครั้งใหญ่ เมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นชอบการแก้ไขกฎหมายสำคัญถึงสองฉบับ คือพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร และกฎกระทรวงว่าด้วยการคัดเลือกทหารกองเกิน นับเป็นความเปลี่ยนแปลงที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง
การปรับปรุงศาลทหารครั้งนี้มีจุดเด่นที่น่าสนใจหลายประการ โดยเฉพาะการยกเลิกศาลจังหวัดทหารทั้งหมด และรวมอำนาจการพิจารณาคดีไว้ที่ศาลมณฑลทหาร ศาลทหารกรุงเทพ และศาลประจำหน่วยทหาร แม้การรวมศูนย์เช่นนี้อาจทำให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ว่าประชาชนในพื้นที่ห่างไกลจะเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้สะดวกเพียงใด
ที่น่ายินดีเป็นพิเศษคือการเปิดโอกาสให้พลเรือนสามารถฟ้องคดีต่อศาลทหารได้โดยตรง ซึ่งต่างจากในอดีตที่ต้องผ่านอัยการทหารเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะช่วยให้ประชาชนทั่วไปที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำของทหารสามารถเข้าถึงความยุติธรรมได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ ในกรณีที่มีการประกาศใช้กฎอัยการศึก (ที่ไม่ใช่ช่วงสงคราม) ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาก็สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ ถือเป็นการเพิ่มความเป็นธรรมให้กับประชาชน
ในอีกด้านหนึ่ง การปรับปรุงเกณฑ์การคัดเลือกทหารกองเกินก็มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน เมื่อ ครม. เห็นชอบให้เพิ่มโรคที่ได้รับการยกเว้นการเกณฑ์ทหารอีก 3 กลุ่มโรค ได้แก่ โรคตุ่มน้ำพอง โรคลำไส้โป่งพองแต่กำเนิด และโรคเอนไซม์บนเม็ดเลือดแดงผิดปกติ โดยจัดให้ผู้ป่วยเหล่านี้เป็นบุคคลจำพวกที่ 2 ซึ่งไม่ต้องเข้ารับราชการทหารหากมีคนจำพวกที่ 1 เพียงพอแล้ว
การตัดสินใจเช่นนี้แสดงให้เห็นว่ากองทัพกำลังปรับตัวให้ทันสมัยมากขึ้น โดยคำนึงถึงสุขภาพของกำลังพลเป็นสำคัญ เพราะในความเป็นจริง ผู้ที่มีโรคเหล่านี้อาจไม่เหมาะสมกับการฝึกทหารที่ต้องใช้ร่างกายอย่างหนัก การยกเว้นจึงเป็นประโยชน์ทั้งต่อตัวผู้ป่วยเองและต่อกองทัพที่ต้องการกำลังพลที่มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องติดตามต่อไปคือการนำกฎหมายทั้งสองฉบับไปปฏิบัติจริง โดยเฉพาะในเรื่องของศาลทหาร ต้องดูว่าพลเรือนจะสามารถใช้สิทธิฟ้องร้องได้สะดวกมากน้อยเพียงใด มีขั้นตอนยุ่งยากหรือไม่ และการพิจารณาคดีจะเป็นธรรมกับทุกฝ่ายหรือไม่ ส่วนเรื่องการคัดเลือกทหาร ก็ต้องติดตามว่าแพทย์ทหารจะสามารถวินิจฉัยโรคเหล่านี้ได้ถูกต้องแม่นยำเพียงใด
ทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณที่ดีที่แสดงว่ากองทัพไทยกำลังพัฒนาไปในทิศทางที่เปิดกว้างและเป็นธรรมมากขึ้น แต่การเปลี่ยนแปลงจะสำเร็จได้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งกองทัพเอง หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และที่สำคัญคือประชาชนที่ต้องช่วยกันติดตามและให้ข้อเสนอแนะเพื่อให้การปฏิรูปครั้งนี้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคมไทย
สรุปข่าว
- อธิบายเพิ่มเติม -
การให้สิทธิพลเรือนฟ้องคดี
เดิม: พลเรือนที่ได้รับความเสียหายต้องร้องผ่านอัยการทหารเท่านั้น
ใหม่: สามารถฟ้องคดีต่อศาลทหารได้โดยตรง ทั้งในเวลาปกติและไม่ปกติ
ยกเว้น: กรณีศาลอาญาศึก ยังคงต้องผ่านอัยการทหารเท่านั้น
การเพิ่มสิทธิในการอุทธรณ์
เดิม: ห้ามอุทธรณ์คำพิพากษาในทุกกรณีที่เป็นเวลาไม่ปกติ
ใหม่: สามารถอุทธรณ์ต่อศาลทหารสูงสุดได้ แม้อยู่ในช่วงประกาศกฎอัยการศึก
ข้อยกเว้น: ต้องไม่ใช่ช่วงที่มีการรบหรือสถานะสงคราม
ที่มาข้อมูล : หาเอง/ตัดต่อเอง
ที่มารูปภาพ : TNN เรียบเรียง