
การยืมทรัพย์สินมูลค่าสูง เส้นบางๆ ระหว่างความสัมพันธ์ส่วนตัวและกฎหมาย
เมื่อการยืมทรัพย์สินกลายเป็นข้อพิพาททางกฎหมาย
กรณีพิพาทเกี่ยวกับการยืมทรัพย์สินมูลค่าสูงระหว่างบุคคลที่มีชื่อเสียงมักได้รับความสนใจจากสังคม แต่นอกเหนือจากความสนใจในแง่ข่าวบันเทิงแล้ว กรณีเหล่านี้ยังเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจในมุมมองของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการยืมทรัพย์ การกู้เงิน และความรับผิดที่อาจเกิดขึ้น

สรุปข่าว
เข้าใจกฎหมายการยืมของ ยืมแบบไหนต้องคืนยังไง?
การให้ยืมของเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน บางครั้งเพื่อนอาจขอยืมกระเป๋า นาฬิกา หรือเงินสดไปใช้ แต่รู้หรือไม่ว่าการยืมแต่ละแบบมีกฎหมายรองรับ และมีผลทางกฎหมายที่แตกต่างกัน ถ้าเข้าใจไม่ถูกต้อง อาจกลายเป็นปัญหาที่ยุ่งยากในอนาคต
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยแบ่ง "การยืม" ออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ การยืมใช้คงรูป และ การยืมใช้สิ้นเปลือง ซึ่งมีความแตกต่างกันทั้งในเรื่องของเงื่อนไขการคืนของ และสิทธิในทรัพย์สินที่ยืมไป
1. การยืมใช้คงรูป – ยืมแล้วต้องคืนของเดิม
การยืมแบบนี้ หมายถึงการที่เจ้าของให้ยืมของไปใช้โดยไม่คิดเงิน เช่น ยืมกระเป๋าแบรนด์เนม นาฬิกาหรู หรือรถยนต์ เงื่อนไขสำคัญคือ ผู้ยืมต้องคืนของเดิมกลับมา ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นของอย่างอื่นแทนได้
🔹 ตัวอย่าง
- เพื่อนขอยืมกระเป๋าหรูไปออกงาน เมื่อใช้เสร็จแล้วต้องคืนกระเป๋าใบเดิม ไม่ใช่ซื้อใบใหม่มาแทน
- ยืมรถยนต์ไปใช้ ต้องคืนคันเดิม แม้ว่ารถจะมีรอยขีดข่วนจากการใช้งานตามปกติก็ตาม
📌 ถ้าไม่คืนของเดิม หรือทำเสียหายมากกว่าปกติ เจ้าของสามารถเรียกร้องค่าเสียหายได้ และถ้าผู้ยืมมีเจตนาไม่คืนตั้งแต่แรก อาจเข้าข่าย ยักยอกทรัพย์ ซึ่งผิดกฎหมายอาญา
2. การยืมใช้สิ้นเปลือง – ยืมไปใช้หมดแล้ว คืนของแบบเดียวกันแทน
- การยืมแบบนี้เกิดขึ้นเมื่อของที่ยืมไปเป็นสิ่งที่ใช้หมดไปได้ เช่น เงิน ข้าวสาร หรืออาหาร ซึ่งเมื่อใช้ไปแล้วจะไม่สามารถคืนของเดิมได้ ผู้ยืมจึงต้องคืนของที่มีลักษณะเดียวกัน ปริมาณเท่ากัน และคุณภาพใกล้เคียงกัน
🔹 ตัวอย่าง
- ยืมเงิน 1,000 บาทไปใช้ สามารถคืนเป็นธนบัตรอื่นที่มีมูลค่าเท่ากัน
- ยืมน้ำตาลไปทำขนม พอถึงเวลาคืน ก็คืนเป็นน้ำตาลจำนวนเท่าเดิม
📌 ในกรณีการยืมเงิน ถ้าไม่คืนตามกำหนด อาจถูกฟ้องร้องเรียกเงินคืนได้ และถ้าผู้ยืมมีเจตนาหลอกให้ยืมตั้งแต่แรก อาจเข้าข่าย ฉ้อโกง ซึ่งเป็นความผิดทางอาญา
ความแตกต่างระหว่าง "การยืม" กับ "การฉ้อโกง"
ประเด็นที่น่าสนใจในกรณีการยืมทรัพย์สินมูลค่าสูงคือ เส้นแบ่งระหว่าง "การยืมโดยสุจริต" กับ "การฉ้อโกง" ซึ่งมีความแตกต่างที่สำคัญ
การยืมโดยสุจริต คือการที่ผู้ยืมมีเจตนาจะคืนทรัพย์สินตั้งแต่แรก แต่อาจมีเหตุทำให้ไม่สามารถคืนได้ตามกำหนด ในกรณีนี้จะเป็นเพียงการผิดสัญญาทางแพ่ง
ในทางตรงกันข้าม การฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 คือการหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้ง และได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวง โดยมีเจตนาทุจริตตั้งแต่แรก
ตัวอย่างเช่น นาย ก. ขอยืมนาฬิกาจากนาย ข. โดยบอกว่าจะนำไปใส่ในงานแต่งงานแล้วจะคืนในวันรุ่งขึ้น แต่ความจริงนาย ก. มีเจตนาตั้งแต่แรกว่าจะนำนาฬิกาไปขาย ไม่มีความตั้งใจจะคืน กรณีนี้อาจเข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกง
การวินิจฉัยว่าการยืมทรัพย์สินแล้วไม่คืนเป็นเพียงการผิดสัญญาทางแพ่ง หรือเข้าข่ายความผิดทางอาญาฐานฉ้อโกง จำเป็นต้องพิจารณาพยานหลักฐานอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะเจตนาของผู้ยืมในขณะที่ทำการยืมทรัพย์นั้น
การนำทรัพย์สินของผู้อื่นไปใช้เป็นหลักประกัน
อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือ การนำทรัพย์สินที่ยืมมาไปใช้เป็นหลักประกันในการกู้ยืมเงิน ซึ่งอาจมีปัญหาทางกฎหมายได้
โดยหลักการแล้ว การที่จะนำทรัพย์สินไปเป็นหลักประกันได้ ผู้นำไปเป็นหลักประกันต้องมีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิในทรัพย์สินนั้น หรือได้รับความยินยอมจากเจ้าของทรัพย์สิน
หากยืมทรัพย์สินมาโดยไม่ได้รับอนุญาตให้นำไปใช้เป็นหลักประกัน แต่กลับนำไปใช้ในลักษณะดังกล่าว อาจเข้าข่ายความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 ได้
ตัวอย่างเช่น นาย ก. ยืมกล้องถ่ายรูปจากนาย ข. โดยบอกว่าจะนำไปถ่ายงานแต่งงาน แต่กลับนำไปจำนำที่โรงรับจำนำ กรณีนี้อาจเข้าข่ายความผิดฐานยักยอกทรัพย์
การป้องกันปัญหาในการยืมทรัพย์สินมูลค่าสูง
จากกรณีพิพาทต่างๆ ที่เกิดขึ้น มีบทเรียนสำคัญสำหรับประชาชนทั่วไปในการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการยืมทรัพย์สิน โดยเฉพาะทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูง ดังนี้
- ทำหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร ควรมีการทำสัญญายืมเป็นลายลักษณ์อักษร ระบุรายละเอียดของทรัพย์สิน วันที่ยืม กำหนดคืน และลงลายมือชื่อทั้งสองฝ่าย
- ถ่ายรูปทรัพย์สิน ก่อนให้ยืม ควรถ่ายรูปทรัพย์สินเก็บไว้เป็นหลักฐาน เพื่อยืนยันสภาพและลักษณะของทรัพย์สิน
- ระบุวัตถุประสงค์ในการยืม ควรระบุวัตถุประสงค์ในการยืมให้ชัดเจน และหากมีข้อจำกัดในการใช้ เช่น ห้ามนำไปจำนำหรือเป็นหลักประกัน ควรระบุไว้ให้ชัดเจน
- พิจารณาความสามารถในการคืนทรัพย์ ควรพิจารณาฐานะทางการเงินและความน่าเชื่อถือของผู้ยืม โดยเฉพาะกรณีทรัพย์สินมูลค่าสูง
- ระวังการให้ยืมกับคนที่มีพฤติกรรมใช้จ่ายฟุ่มเฟือย หากผู้ขอยืมมีพฤติกรรมใช้จ่ายเกินตัว มีหนี้สิน หรือมีปัญหาทางการเงิน ควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนให้ยืมทรัพย์สินมูลค่าสูง
การจัดการปัญหาเมื่อไม่ได้รับทรัพย์คืน
หากเกิดกรณีให้ยืมทรัพย์สินแล้วไม่ได้รับคืนตามกำหนด ผู้ให้ยืมสามารถดำเนินการทางกฎหมายได้ดังนี้
- ทวงถามอย่างเป็นทางการ ควรทำหนังสือทวงถามอย่างเป็นทางการ โดยส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับเพื่อเป็นหลักฐาน
- ฟ้องร้องคดีแพ่ง หากไม่ได้รับการตอบสนอง สามารถฟ้องร้องเป็นคดีแพ่งเพื่อเรียกคืนทรัพย์สินหรือเรียกค่าเสียหาย
- แจ้งความดำเนินคดีอาญา หากมีหลักฐานว่าผู้ยืมมีเจตนาทุจริตตั้งแต่แรก หรือนำทรัพย์สินไปใช้ในทางที่ผิดวัตถุประสงค์ เช่น นำไปจำนำหรือขาย อาจแจ้งความดำเนินคดีอาญาในข้อหาฉ้อโกงหรือยักยอกได้
กรณีพิพาทเกี่ยวกับการยืมทรัพย์สินมูลค่าสูงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการยืมทรัพย์สินโดยไม่มีการจัดการอย่างรอบคอบ แม้จะเป็นการยืมระหว่างคนที่มีความสัมพันธ์ส่วนตัว ก็ยังสามารถกลายเป็นคดีความที่ยุ่งยากได้
สิ่งสำคัญที่ประชาชนควรตระหนักคือ การยืมทรัพย์สิน โดยเฉพาะทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูง ควรมีการทำหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรที่ชัดเจน และผู้ยืมควรตระหนักถึงความรับผิดทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นหากไม่คืนทรัพย์ตามกำหนด หรือนำทรัพย์สินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์
กรณีพิพาทเหล่านี้เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับทุกคน ว่าการใช้จ่ายเกินตัวและการจัดการทรัพย์สินอย่างไม่รอบคอบ อาจนำมาซึ่งปัญหาทางกฎหมายและความเสียหายต่อชื่อเสียงได้ในที่สุด
ที่มาข้อมูล : TNN เรียบเรียง จากกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ที่มารูปภาพ : Freepik