"สี จิ้นผิง" เดินหน้าการทูตระหว่างประเทศ ส่งสัญญาณพร้อมกระชับสัมพันธ์
ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ผู้นำจีน ที่เก็บตัวเงียบในประเทศนานกว่า 2 ปีจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตอนนี้กลับมาเดินหน้าโดดเด่นบนเวทีการเมืองระหว่างประเทศอีกครั้ง กับการเดินสายไปประชุมต่างแดน
ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ผู้นำจีน ที่เก็บตัวเงียบในประเทศนานกว่า 2 ปีจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตอนนี้กลับมาเดินหน้าโดดเด่นบนเวทีการเมืองระหว่างประเทศอีกครั้ง กับการเดินสายไปประชุมต่างแดน
ใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ปราศจากแมสก์ การสัมผัสมือผู้นำโลกมายมาก ถือเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนแล้วว่าจีนพร้อมกระชับสัมพันธ์และแก้ไขข้อพิพาทขัดแย้งอีกครั้ง
ภายหลังได้รับเลือกให้เป็นผู้นำสูงสุดแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อเดือนที่แล้ว ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ก็เดินหน้าปฏิบัติภารกิจยังต่างแดนต่อเนื่องทันที หลังจากที่ว่างเว้นไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศ เก็บตัวอยู่แต่ในประเทศนานกว่า 2 ปีจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งในจีนทั่วโลก
นั่นทำให้เราได้เห็นประธานาธิบดีสี แสดงให้เห็นถึงการเป็นผู้นำหนึ่งในมหาอำนาจที่ทรงอิทธิพลไปทั่วโลกอย่างจีน ด้วยการเข้าร่วมการประชุมบนเวทีใหญ่ของโลก
ทั้งการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ หรือ G20 ที่เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซียเมื่อต้นสัปดาห์ ที่ซึ่งปรากฏภาพของเขาขณะสัมผัสมือกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแบบไม่มีหน้ากากอนามัยมาปิดบังไปสู่สายตาคนทั้งโลก ตามด้วยการเจรจาระหว่างกันแบบพบหน้านานกว่า 3 ชั่วโมงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
นอกจากนี้ ยังมีการพบหารือทวิภาคีกับทั้งนายกรัฐมนตรีแอนโทนี อัลบาเนซี ผู้นำออสเตรเลีย เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี นอกรอบการประชุม G20 ที่มีจุดประสงค์เพื่อผ่อนคลายความขัดแย้งระหว่างสองชาติในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ยังมีกำหนดพบหารือนอกรอบกับนายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ ผู้นำญี่ปุ่น นอกรอบการประชุมสุดยอดผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือเอเปค ที่ไทยเราเป็นเจ้าภาพในสัปดาห์นี้ด้วย
อย่างไรก็ดี ภาพข่าวที่เพิ่งปรากฏในเมื่อวานนี้ ที่ประธานาธิบดีสียืนพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ในการประชุมสุดยอดผู้นำ G20 พร้อมกับกล่าวคำพูดเชิงตำหนิผู้นำแคนาดา
เรื่องนำข้อมูลการหารือระหว่างสองฝ่ายไปเผยต่อสื่อ ก็เป็นสิ่งที่เตือนให้เห็นว่า แม้จีนจะหันมาเดินหน้าสานสัมพันธ์กับชาติตะวันตกและเพื่อนบ้าน แต่ภาพของความขัดแย้งกับหลายชาติก็ยังคงปรากฏอยู่
หลี่ หมิงเจี้ยน ศาสตราจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จากสถาบันการศึกษาระหว่างประเทศ เอส.ราชารัตนัม ในสิงคโปร์ เปิดเผยกับ Reuters ว่า ตารางงานแน่นขัดของประธานาธิบดีสีในช่วงนี้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่าจีนพร้อมกลับมายืนหนึ่งบนเวทีโลก
และมีแสดงบทบาทผู้นำในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอีกครั้ง การเข้าร่วมการประชุมสุดยอดยังต่างแดน และพบหารือบรรดาผู้นำต่างชาติคนสำคัญจะช่วยให้จีนบรรลุจุดประสงค์ดังกล่าว
การกลับมาแสดงจุดยืนทางการทูตที่เด่นชัดอีกครั้งของจีน ยังมีความสำคัญอย่างยิ่งในช่วงที่จีนกำลังแข่งขันด้านอิทธิพลในเอเชียแปซิฟิกกับสหรัฐฯ ที่พยายามอย่างยิ่งในการเข้ามามีบทบาทในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการออกมาสนับสนุนไต้หวัน และการเดินหน้าทำข้อตกลงด้านความมั่นคงกับออสเตรเลียกับอังกฤษ หรือ ออคัส ซึ่งทำให้จีนไม่สบายมากขึ้นเรื่อยๆ
หลี่หมิงเจี้ยน ระบุอีกว่า ในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า จีนน่าจะแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำบนเวทีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ด้วยการผลักดันโครงการต่างๆ ที่จีนต้องการสนับสนุนให้เกิดขึ้นและประสบผลสำเร็จ
ทั้งการขยายโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ผลักดันโครงการพัฒนาโลก (Global Development Initiative -GDI) และโครงการเพื่อความมั่นคงโลก (Global Security Initiative - GSI)
ขณะเดียวกับ การเดินหน้าเยือนต่างประเทศและพบหารือบรรดาผู้นำโลก ยังเน้นย้ำถึงอิทธิพลของประธานาธิบดีสีในฐานะผู้นำตัวจริงของชาติมหาอำนาจโลกอย่างจีน จากที่ในช่วงก่อนแพร่ระบาดของโควิด-19 ประธานาธิบดีสีมักคุ้นเคยกับการสานความสัมพันธ์แบบเน้นตัวบุคคลมากกว่า
แต่เหนือสิ่งอื่นใด การเข้ามามีอิทธิพลของสหรัฐฯ ในเอเชียแปซิฟิก ผ่านโครงการความร่วมมือด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจต่างๆ ทั้งออคัส หรือควอด เป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ประธานาธิบดีสีและจีนต้องเร่งกลับมาแสดงจุดเด่นบนเวทีโลก
เพื่อให้เพื่อนบ้านและประเทศในภูมิภาคเห็นว่า จีนไม่ได้อ่อนเปลี้ยหรือสูญเสียความสำคัญและอิทธิพลไป อย่างน้อย การแสดงออกบนเวทีโลกของจีน ก็ทำให้ประเทศต่างๆ แสดงจุดยืนตรงกลาง ไม่เลือกข้างระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่กำลังเผชิญหน้ากันอย่างถึงพริกถึงขิงบนสนามประลองทางภูมิรัฐศาสตร์กันอยู่ในตอนนี้
ภาพจาก TNN Online