TNN อนาคต "นวดไทย" บนทางแยกระหว่างโอกาสทองและความท้าทาย

TNN

TNN Exclusive

อนาคต "นวดไทย" บนทางแยกระหว่างโอกาสทองและความท้าทาย

อนาคต นวดไทย บนทางแยกระหว่างโอกาสทองและความท้าทาย

นวดไทยยังฮิตติดลมบน! แต่ความปลอดภัยยังเป็นคำถาม กระทรวงสาธารณสุขเร่งยกระดับมาตรฐานสู่ Medical Hub หวังโกยรายได้แสนล้าน พร้อมสร้างความเชื่อมั่นหลังกรณี "ผิง ชญาดา"

ท่ามกลางกระแสการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวไทย "นวดแผนไทย" ยังคงครองใจนักท่องเที่ยวต่างชาติ สะท้อนจากผลสำรวจล่าสุดของวีซ่า (Visa Global Travel Intentions Study) ที่ชี้ว่านวดไทยคือกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวแสวงหามากที่สุดเมื่อมาเยือนประเทศไทย สอดรับกับการคาดการณ์ของสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (PATA) ที่ประเมินว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะพุ่งแตะ 46.96 ล้านคนภายในสิ้นปี 2567


อย่างไรก็ตาม ล่าสุดวงการนวดไทยต้องเผชิญกับคำถามด้านความปลอดภัย เมื่อมีกรณีการเสียชีวิตของ "ผิง ชญาดา" นักร้องสาวที่เคยออกมาเล่าประสบการณ์หลังการนวดบิดคอ ซึ่งนำไปสู่อาการชา เจ็บเสียวคล้ายไฟช็อต และอ่อนแรงที่ร่างกายซีกขวา (แม้ขณะนี้ยังต้องรอผลการชันสูตรอย่างละเอียดเพื่อยืนยันสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง) เหตุการณ์นี้ได้จุดประกายการถกเถียงในวงกว้างถึงมาตรฐานความปลอดภัยในการนวด โดยเฉพาะการนวดบริเวณคอซึ่งเป็นจุดอ่อนไหว


ท่ามกลางความท้าทายนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้เร่งผลักดันนโยบาย "Medical and Wellness Hub" มุ่งยกระดับนวดไทยจากภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่อุตสาหกรรมสุขภาพระดับโลก ด้วยเป้าหมายสร้างรายได้ถึงปีละ 1 แสนล้านบาทภายในปี 2570 ผ่านการวางรากฐานสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ (การพัฒนาหลักสูตรมาตรฐาน 17 หลักสูตร) (การสร้างเครือข่ายศูนย์ฝึกอบรมกว่า 416 แห่งทั้งในและต่างประเทศ) และ (การขึ้นทะเบียนสถานประกอบการที่ได้มาตรฐานกว่า 13,000 แห่ง)


"หมอนวดมือทอง" หัวใจสำคัญในการยกระดับนวดไทยสู่มาตรฐานสากล


ท่ามกลางการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โครงการ "หมอนวดมือทอง" ภายใต้การดำเนินงานของกระทรวงสาธารณสุข กำลังเป็นความหวังสำคัญในการพัฒนาบุคลากรด้านนวดไทยให้มีมาตรฐานระดับสากล โดยตั้งเป้าผลิตผู้เชี่ยวชาญด้านนวดไทย 10,000 คนภายในปี 2568 ผ่านหลักสูตรการฝึกอบรมที่ครอบคลุมทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ


การฝึกอบรม "หมอนวดมือทอง" ไม่ได้เน้นเพียงแค่เทคนิคการนวดเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึง (ความรู้พื้นฐานด้านกายวิภาคศาสตร์) (การประเมินอาการและข้อห้ามในการนวด) (การดูแลความปลอดภัยของผู้รับบริการ) และ (จรรยาบรรณวิชาชีพ) โดยผู้เข้าอบรมจะต้องผ่านการประเมินทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติอย่างเข้มข้นก่อนได้รับการรับรอง


ความพิเศษของโครงการนี้คือการผสมผสานระหว่าง "ภูมิปัญญาดั้งเดิม" กับ "มาตรฐานสากล" เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป จากผลสำรวจของวีซ่าพบว่า นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประเทศไทยมีความต้องการหลากหลาย ทั้งการพักผ่อน (30%) การหลีกหนีความวุ่นวาย (25%) และการผจญภัยกลางแจ้ง (18%) ซึ่ง "หมอนวดมือทอง" จะต้องสามารถปรับรูปแบบการนวดให้เหมาะสมกับความต้องการที่แตกต่างของแต่ละกลุ่ม


นอกจากนี้ โครงการยังเน้นการสร้าง "เครือข่ายความร่วมมือ" ระหว่างสถาบันการศึกษา โรงพยาบาล และสถานประกอบการนวดแผนไทย เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ พร้อมทั้งมีระบบติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่า "หมอนวดมือทอง" ทุกคนยังคงรักษามาตรฐานการให้บริการในระดับสูงอยู่เสมอ


ที่สำคัญ โครงการนี้ยังเป็นการสร้าง "โอกาสทางอาชีพ" ให้กับคนในชุมชน โดยผู้ที่ผ่านการอบรมจะได้รับการรับรองมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ เปิดโอกาสให้สามารถทำงานในสถานประกอบการระดับพรีเมียม หรือแม้แต่การเปิดกิจการของตนเอง ซึ่งจะช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ประกอบวิชาชีพนวดไทยอย่างยั่งยืน


"ความท้าทายของนวดไทยในวันนี้ จึงไม่ใช่แค่การแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดโลก แต่คือการรักษาสมดุลระหว่างการเติบโตทางธุรกิจกับความปลอดภัยของผู้ใช้บริการ" การที่นวดไทยได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก ยิ่งตอกย้ำความรับผิดชอบที่ต้องรักษาทั้งคุณค่าทางวัฒนธรรมและมาตรฐานความปลอดภัยไปพร้อมกัน


ขณะที่การเปิดตัวของศูนย์นวดไทยในต่างประเทศกำลังขยายตัว และการรับรองมาตรฐานคุณภาพบริการกำลังเข้มข้นขึ้น คำถามสำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันตอบคือ "เราจะสร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของนวดไทยให้กลับคืนมาได้อย่างไร" เพราะนี่คือกุญแจสำคัญที่จะเปิดประตูสู่การเป็นศูนย์กลางการดูแลสุขภาพระดับโลกอย่างแท้จริง 



ภาพ Freepik 

ข่าวแนะนำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง