พักดอกเบี้ย 3 ปี ยาแรงที่มาพร้อมผลข้างเคียง
รัฐบาลใหม่ประกาศพักหนี้ 3 ปี หวังแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน 1.3 ล้านล้านบาท แต่โครงการนี้จะประสบความสำเร็จ หรือเป็นแค่ยาแก้ปวดชั่วคราว?
"หนี้" คือปัญหาเรื้อรังที่กัดกินสังคมไทยมาอย่างยาวนาน วันนี้รัฐบาลชุดใหม่จึงประกาศ "มาตรการพักดอกเบี้ย 3 ปี" เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่กำลังหัวโต แต่หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า นี่จะเป็น "ทางรอด" หรือแค่ "ยาแก้ปวดชั่วคราว" กันแน่?
ตัวเลขที่น่าตกใจคือ มีคนไทยติดกับดักหนี้มากถึง 2.3 ล้านบัญชี รวมมูลหนี้มหาศาลถึง 1.31 ล้านล้านบาท โดยแบ่งเป็น "หนี้บ้าน" (4.6 แสนบัญชี มูลหนี้ 4.8 แสนล้านบาท) "หนี้รถ" (1.4 ล้านบัญชี มูลหนี้ 3.7 แสนล้านบาท) และ "หนี้ SMEs" (4.3 แสนบัญชี มูลหนี้ 4.54 แสนล้านบาท)
"กติกา" ของโครงการนี้ค่อนข้างชัดเจน คือต้องเป็น (หนี้บ้านไม่เกิน 3 ล้านบาท) (หนี้รถไม่เกิน 8 แสนบาท) และ (หนี้ SMEs ไม่เกิน 3 ล้านบาท) ที่สำคัญต้องเป็น "หนี้เสีย" ที่มีอายุไม่เกิน 1 ปี และต้องเป็นหนี้ที่เกิดก่อน 31 ตุลาคม 2567 เท่านั้น
"กลไกสำคัญ" ของโครงการนี้คือการลดเงินนำส่งกองทุนฟื้นฟูฯ (FIDF) ลงครึ่งหนึ่งเหลือ 0.23% เพื่อแลกกับการที่ธนาคารจะช่วย "แบกรับภาระดอกเบี้ย" แทนลูกหนี้ แต่นี่หมายความว่าเงินที่จะเก็บได้จะลดลงจาก "7 หมื่นล้านบาทต่อปี" เหลือเพียง "3.5 หมื่นล้านบาทต่อปี"
"ความท้าทาย" ที่น่ากังวลคือเรื่อง "Moral Hazard" หรือการที่คนอาจจงใจไม่จ่ายหนี้เพื่อให้ได้สิทธิ์เข้าโครงการ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต แม้จะมีการวาง "มาตรการป้องกัน" แต่ก็ยังมีช่องโหว่ที่ต้องจับตา
"ต้นทุนที่ซ่อนอยู่" ของโครงการนี้ไม่ใช่แค่เรื่องตัวเงิน แต่รวมถึงภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นอีก 5,000 ล้านบาทต่อปี และการที่ระยะเวลาการชำระหนี้จะยืดออกไปอีกประมาณครึ่งปี ซึ่งอาจกระทบต่อ "เสถียรภาพของระบบการเงิน" ในระยะยาว
"สิ่งที่น่าคิด" คือ แม้โครงการนี้จะช่วย "พยุงคนที่กำลังจมน้ำ" ให้หายใจได้ แต่เราจำเป็นต้องมี "แผนระยะยาว" ในการสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินให้คนไทย ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มรายได้ การให้ความรู้ทางการเงิน หรือการสร้างระบบสวัสดิการที่เข้มแข็ง
"บทสรุป" ของเรื่องนี้คงไม่ใช่แค่การวัดความสำเร็จจาก "จำนวนคนที่เข้าร่วมโครงการ" แต่อยู่ที่ว่าเราจะสามารถ "ป้องกันไม่ให้คนไทยกลับมาจมน้ำอีกครั้ง" ได้อย่างไร นี่คือโจทย์ใหญ่ที่ท้าทายกว่าการแก้ปัญหาหนี้ที่เกิดขึ้นแล้วเสียอีก
ภาพ Freepik
ข่าวแนะนำ