
ใครใครก็เป็น”หนี้”ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะดารา นางร้าย หรืออาชีพไหน
วันนี้เรามาส่อง "หนี้" คนไทย ที่หลายฝ่ายกังวลว่าอยู่ในขั้นวิกฤต
ขณะที่รัฐบาลแทบทุกยุคต่างก็พยายามออกมาตรการมา”แก้หนี้”
จากการสำรวจ ล่าสุด โดยกระทรวงพาณิชย์ จากการแถลงเกี่ยวกับ”ภาระหนี้สินของประชาชน” เดือนกุมภาพันธ์ 2568 จำนวน 6,291 ราย
พบว่ากลุ่มอาชีพ “พนักงานของรัฐ” เป็นคนที่มีหนี้มากที่สุด 68.18 % โดยหนักไปที่การกู้มาจากสหกรณ์
ตามมาด้วยเกษตรกร 57.16 % และพนักงานเอกชน 53.15 %
ขณะเดียวกันปรากฎว่าคนที่มีรายได้เยอะ ภาระหนี้ก็ยิ่งเยอะตามกัน
โดยอันดับที่ 1 คือ กลุ่มคนที่มีรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 100,000 บาท ขึ้นไปมีหนี้มากถึง 81.25 %
และสาเหตุที่ต้องกู้หนี้ยืมสิน หรือยอมเป็นหนี้ มากที่สุด ก็คือ การใช้สำหรับที่อยู่อาศัย ยานพาหนะ ตามมาด้วยค่าใช้จ่ายประจำ และการลงทุน
และเมื่อพิจารณาจำแนกตามกลุ่มอาชีพ พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามที่ไม่ได้ทำงานและเกษียณอายุมีค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันที่เพิ่มขึ้นเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดภาระหนี้มากที่สุด ซึ่งอาจสะท้อนถึงสถานการณ์เศรษฐกิจและค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน
ส่วนคำถามว่าคนส่วนใหญ่ "กู้ยืม" จากไหน ?
จากการสำรวจยังพบว่าอันดับ 1 ยังคงเป็นหนี้ในระบบมากที่สุด 79.89 %
เมื่อพิจารณาจำแนกตามกลุ่มอาชีพ พบว่า คนที่มี”อาชีพรักจ้างอิสระ” เป็นอาชีพที่มีสัดส่วนการมีภาระหนี้นอกระบบมากที่สุด อาจเกิดขึ้นจากปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของกลุ่มอาชีพที่ไม่มีรายได้ที่ชัดเจนและแน่นอน
สำหรับรูปแบบหนี้สิน ในภาพรวมพบว่า มีรูปแบบหนี้จากการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินมากที่สุด ตามมาด้วยหนี้บัตรเครดิต และหนี้จากการกู้ยืมสหกรณ์
ขณะที่พนักงานเอกชนและกลุ่มผู้มีรายได้ต่อเดือน 40,001 - 50,000 บาท เป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนหนี้จากบัตรเครดิตมากที่สุด
และพนักงานของรัฐและผู้ไม่ได้ทำงานและเกษียณอายุมีสัดส่วนหนี้สินจากการกู้สหกรณ์มากที่สุด

สรุปข่าว
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า จากการมีหนี้สินทำให้คนต้องปรับตัวหรือพฤติกรรม เริ่มจากการลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยมากที่สุด ตามด้วยการหารายได้เพิ่ม และการไม่ก่อหนี้สินเพิ่มเติม ส่วนความช่วยเหลือที่ต้องการจากภาครัฐ ในภาพรวมผู้ตอบแบบสอบถามต้องการให้ภาครัฐออกมาตรการและนโยบายเพื่อช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาภาระหนี้สินของประชาชนโดยการลดอัตราดอกเบี้ยมากที่สุด และรองลงมาคือ การพักหรือขยายเวลาการชำระหนี้ โดยกลุ่มนักศึกษาและกลุ่มผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี มีสัดส่วนความต้องการให้มีการสร้างและส่งเสริมอาชีพเพื่อเพิ่มรายได้มากที่สุด ที่ร้อยละ 45.45 และ ร้อยละ 31.17 ตามลำดับ
นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งข้อมูลน่าสนใจ จากทางเครดิตบูโร ที่พบว่าปัจจุบันนี้ “หนี้เสีย" ของไทยน่าห่วง
นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) เปิดเผยว่า สถานการณ์หนี้เสีย หรือ NPL ของประเทศไทย อยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง
โดย ณ มิถุนายนที่ผ่านมา ทะลุ 1.1 ล้านล้านบาท คิดเป็น 8.6 % ของปริมาณหนี้ทั้งหมด ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ มีนาคม 2565 ที่มีหนี้เสีย 9.5 แสนล้านบาท ทิศทางหนี้เสียยังคงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะที่น่าเป็นห่วงคือ ช่วงปี 2566 ที่หมดมาตรการช่วยเหลือทางการเงินจากภาครัฐ
ทั้งนี้ กลุ่มที่น่าเป็นห่วง คือ กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากไตรมาส 1 ที่ผ่านมา มีอยู่ 2.7 ล้านบัญชี จาก 2.1 ล้านคน มูลค่า 2.2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นมาในไตรมาส 3 เป็น 4.3 ล้านบัญชี จาก 2.9 ล้านคน คิดเป็นมูลค่า 4 แสนล้านบาท
ที่มาข้อมูล : กระทรวงพาณิชย์
ที่มารูปภาพ : TNN canva

ทิฆัมพร อยู่กำเหนิด