TNN บทบาท DSI ขุมพลังพิทักษ์ผู้บริโภค ในมหากาพย์ "แชร์ลูกโซ่" เมืองไทย

TNN

TNN Exclusive

บทบาท DSI ขุมพลังพิทักษ์ผู้บริโภค ในมหากาพย์ "แชร์ลูกโซ่" เมืองไทย

บทบาท DSI ขุมพลังพิทักษ์ผู้บริโภค ในมหากาพย์ แชร์ลูกโซ่ เมืองไทย

บทความนี้วิเคราะห์บทบาทของ DSI ในการจัดการคดีแชร์ลูกโซ่ พร้อมยกกรณีศึกษาจากคดีดัง เพื่อให้เข้าใจถึงกลโกง แนวทางป้องกัน และการแก้ไขปัญหา เพื่อปกป้องผู้บริโภคไทย

ธุรกิจแชร์ลูกโซ่เป็นหนึ่งในรูปแบบการหลอกลวงที่สร้างความเสียหายอย่างกว้างขวางในประเทศไทย การบังคับใช้กฎหมายและการตรวจสอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จึงมีบทบาทสำคัญในการปกป้องผู้บริโภค โดยเฉพาะเมื่อคดีเหล่านี้เกี่ยวข้องกับจำนวนผู้เสียหายมากและมีมูลค่าความเสียหายสูง นอกเหนือจากการตรวจสอบพฤติกรรมของบริษัทและเส้นทางการเงินแล้ว ดีเอสไอยังมุ่งเน้นการสอบสวนเพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้ตกเป็นเหยื่อเพิ่มเติม บทความนี้จะวิเคราะห์บทบาทของดีเอสไอในการจัดการคดีแชร์ลูกโซ่ โดยเปรียบเทียบกรณีศึกษาจากคดีที่เกิดขึ้นในอดีต เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา


ข้อมูลจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ระบุว่า ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา พบคดีแชร์ลูกโซ่ที่สร้างความเสียหายรวมกันกว่า 17,000 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงของปัญหานี้ ดีเอสไอในฐานะหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายจึงได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบและดำเนินคดีกับผู้ที่กระทำความผิด 


แชร์ลูกโซ่ยุคใหม่ ซ่อนเงื่อนงำหลอกลวง


รูปแบบของแชร์ลูกโซ่ในปัจจุบันมีความหลากหลาย ตั้งแต่การอ้างว่าเป็นการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งสัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนสูง ดังเช่นในคดี Ufun Store เมื่อปี 2015 ผ่านการขายเหรียญ Utoken แต่กลับกลายเป็นการแสวงหากำไรจากการชักชวนสมาชิกใหม่ ก่อให้เกิดความเสียหายสูงถึง 12,000 ล้านบาท


การขายผลิตภัณฑ์เสริมความงามหรือสุขภาพก็ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือหลอกลวงเช่นกัน อย่างเช่นในคดีเมจิกสกิน ปี 2018 ที่โฆษณาเกินจริงและผลิตสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน สร้างความเสียหายกว่า 1,000 ล้านบาท 


ในยุคดิจิทัล สื่อโซเชียลมีเดียก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือชักจูงให้คนหลงเชื่อ เช่นในคดีแม่มณี ปี 2019 ที่มีผู้เสียหายกว่า 3,000 คน มูลค่าความเสียหายกว่า 1,000 ล้านบาท รวมถึงคดี Forex-3D ที่หลอกลวงให้ลงทุนในแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนเงินตรา ก่อความเสียหายรวม 2,400 ล้านบาท


กฎหมายและบทบาทดีเอสไอในการต่อสู้แชร์ลูกโซ่


ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายตาม พ.ร.บ.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 และพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 ซึ่งมีโทษจำคุกตั้งแต่ 5-10 ปี และปรับตั้งแต่ 500,000 ถึง 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


ในฐานะหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษมีอำนาจในการสืบสวนและดำเนินคดีแชร์ลูกโซ่ที่มีลักษณะเป็นคดีพิเศษตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 โดยพิจารณาจากความซับซ้อนของการกระทำความผิด ผลกระทบที่มีต่อส่วนรวม และจำนวนผู้เสียหายที่เกี่ยวข้อง


หลักเกณฑ์ที่ดีเอสไอใช้ในการพิจารณารับคดีพิเศษ


กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มีอำนาจหน้าที่ในการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ซึ่งรวมถึงคดีแชร์ลูกโซ่ที่มีลักษณะตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ดังนี้


1. มูลค่าความเสียหายสูง

คดีที่มีมูลค่าความเสียหายตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไป หรือคดีที่มีผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจ ความมั่นคง ความสงบเรียบร้อย ศีลธรรมอันดี หรือความปลอดภัยของประชาชน 


2. ความซับซ้อนของคดี

คดีที่มีพฤติการณ์การกระทำความผิดที่ซับซ้อน จำเป็นต้องใช้วิธีการสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเป็นพิเศษ เช่น การทำธุรกรรมทางการเงินที่สลับซับซ้อนเพื่อปกปิดหรือฟอกเงิน การใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือเทคโนโลยีชั้นสูง เป็นต้น


3.จำนวนผู้เสียหายจำนวนมาก

คดีที่มีจำนวนผู้เสียหายตั้งแต่ 1,000 รายขึ้นไป หรือคดีที่มีผู้เสียหายจำนวนมากและกระจายตัวในหลายท้องที่ ซึ่งคดีมีความยุ่งยากซับซ้อนในการรวบรวมพยานหลักฐาน 


4.เจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง

คดีที่มีพฤติการณ์น่าเชื่อว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมิใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา 5 เข้าไปเกี่ยวข้อง เป็นตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุน


5. การกระทำความผิดข้ามชาติ

คดีที่มีลักษณะเป็นการกระทำความผิดข้ามชาติที่สำคัญ หรือเป็นการกระทำขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งมีผลกระทบรุนแรงต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ความมั่นคงของประเทศ หรือระบบเศรษฐกิจ การเงินของประเทศ


นอกจากนี้ คดีแชร์ลูกโซ่ที่มีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ ซึ่งมีการกระทำความผิดตั้งแต่ 5 ราย ขึ้นไป และได้กระทำความผิดต่อเนื่องกันจนถึงวันที่กรมสอบสวนคดีพิเศษรับเป็นคดีพิเศษ ถึงแม้มูลค่าความเสียหายจะไม่ถึง 100 ล้านบาทก็ตาม ก็จะถูกพิจารณารับเป็นคดีพิเศษเช่นกัน


เมื่อมีการกระทำความผิดที่เข้าข่ายจะเป็นคดีพิเศษ ผู้เสียหายสามารถยื่นคำร้องต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษได้โดยตรง จากนั้นคณะกรรมการคดีพิเศษจะเป็นผู้พิจารณาว่าเหตุแห่งคดีนั้น ๆ อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่ หากผ่านการพิจารณาก็จะส่งเรื่องให้อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษมีคำสั่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษเพื่อดำเนินคดีต่อไป


เมื่อดีเอสไอรับคดีแชร์ลูกโซ่เป็นคดีพิเศษแล้ว จะตั้งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร นักสืบสวน นักกฎหมาย และผู้เชี่ยวชาญจากสาขาต่างๆ ในการขยายผลสืบสวนสอบสวน ซึ่งมีอำนาจในการเข้าถึงข้อมูลทางการเงินและข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อตรวจสอบร่องรอยการกระทำความผิด


อีกทั้งยังใช้กลไกความร่วมมือกับต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่เป็นแหล่งฟอกเงินจากคดีแชร์ลูกโซ่ ในการสกัดเส้นทางทางการเงินและติดตามตัวผู้กระทำความผิด และการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายด้วยกัน



ร่วมใจสู้ภัยแชร์ลูกโซ่ ปกป้องสิทธิผู้บริโภค


แม้การแก้ปัญหาแชร์ลูกโซ่จะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนถือเป็นกุญแจสำคัญในการต่อสู้กับภัยนี้ หน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะกรมสอบสวนคดีพิเศษ ต้องเร่งดำเนินคดีและขยายผลเพื่อตัดวงจรการหลอกลวง ขณะที่หน่วยงานกำกับดูแลควรเน้นมาตรการเชิงป้องกันและเฝ้าระวัง


ภาคประชาสังคมและสื่อก็ควรมีบทบาทในการเผยแพร่ความรู้และสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชน เพื่อให้สามารถรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของมิจฉาชีพ ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องและทันสถานการณ์จะช่วยให้ผู้คนมีภูมิคุ้มกันและไม่ตกเป็นเหยื่อของกลโกงในรูปแบบต่างๆ 


สำหรับประชาชน สิ่งสำคัญคือต้องมีสติในการใช้วิจารณญาณก่อนตัดสินใจลงทุนกับโอกาสที่ดูจะมาพร้อมกับผลตอบแทนสูงเกินจริง และอย่าลังเลที่จะแจ้งความหากพบว่าถูกหลอก เพื่อที่จะได้ช่วยกันหยุดยั้งไม่ให้เกิดผู้เสียหายรายอื่นตามมา


-----------------

อ้างอิง

 

- กรมสอบสวนคดีพิเศษ, 2566

- กรมสอบสวนคดีพิเศษ. (2566). รายงานสถิติคดีแชร์ลูกโซ่ประจำปี 2566. สืบค้นจาก https://www.dsi.go.th/th/รายงานสถิติ

- พระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547. ราชกิจจานุเบกษา

-ข่าว. (2565, 15 มีนาคม). DSI เร่งขยายผลคดีแชร์ลูกโซ่ Forex-3D. 


ภาพประกอบ: Freepik, กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI)


เรียบเรียงโดย ยศไกร รัตนบรรเทิง 

ภาพ Freepik / DSI

ข่าวแนะนำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง