TNN ปี 54 VS 67 เทียบชัดๆ วิกฤตน้ำท่วม หลัง 13 ปีผ่านไป ไทยจะซ้ำรอยเดิมหรือไม่?

TNN

TNN Exclusive

ปี 54 VS 67 เทียบชัดๆ วิกฤตน้ำท่วม หลัง 13 ปีผ่านไป ไทยจะซ้ำรอยเดิมหรือไม่?

ปี 54 VS 67 เทียบชัดๆ วิกฤตน้ำท่วม หลัง 13 ปีผ่านไป ไทยจะซ้ำรอยเดิมหรือไม่?

บทความนี้จะพาคุณย้อนรอยเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งประวัติศาสตร์ในปี 2554 เทียบกับสถานการณ์ปัจจุบันในปี 2567 เพื่อหาคำตอบว่า เราเรียนรู้อะไรจากอดีตบ้าง? ระบบบริหารจัดการน้ำของไทยพัฒนาไปถึงไหนแล้ว? และที่สำคัญที่สุด... เราพร้อมรับมือกับวิกฤตน้ำท่วมครั้งใหม่หรือยัง?

บทเรียนจากมหาอุทกภัย 2554 สู่การบริหารจัดการน้ำในปี 2567 - ความก้าวหน้าและความท้าทาย


อุทกภัยเป็นภัยธรรมชาติที่สร้างความเสียหายต่อประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์มหาอุทกภัยในปี 2554 ที่ถือเป็นครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมูลค่ามหาศาลถึง 1.44 ล้านล้านบาท บทความนี้จะวิเคราะห์เปรียบเทียบสถานการณ์น้ำท่วมระหว่างปี 2554 และ 2567 เพื่อศึกษาบทเรียน ความก้าวหน้า และความท้าทายในการบริหารจัดการน้ำของประเทศไทย


ปริมาณน้ำฝนและสภาพอากาศ - จุดเริ่มต้นของวิกฤต


ปี 2554 เป็นปีที่มีปริมาณฝนสูงผิดปกติ โดยมีปริมาณฝนรวมทั้งปีสูงถึง 1,826 มิลลิเมตร มากกว่าค่าเฉลี่ยถึง 25% ฝนเริ่มตกเร็วกว่าปกติตั้งแต่เดือนมีนาคม และมีฝนตกหนักต่อเนื่องจนถึงปลายปี โดยเฉพาะในช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคมที่มีพายุ 5 ลูกพัดผ่านประเทศไทย ส่งผลให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำและเขื่อนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว


ในปี 2567 แม้ยังไม่สิ้นสุดฤดูฝน แต่จากข้อมูล ณ วันที่ 18 สิงหาคม 2567 พบว่าหลายพื้นที่มีฝนตกหนัก โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น จังหวัดเชียงราย พะเยา น่าน และหนองคาย มีปริมาณฝนสะสม 24 ชั่วโมงสูงถึง 90-120 มิลลิเมตร ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ฝนตกหนักมาก แม้ว่าปริมาณฝนโดยรวมยังไม่สูงเท่าปี 2554 แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้


สถานการณ์น้ำในแม่น้ำสายหลัก - ผลพวงจากปริมาณฝนที่มากผิดปกติ


ในปี 2554 แม่น้ำเจ้าพระยาที่สถานี C.2 จังหวัดนครสวรรค์ มีปริมาณน้ำไหลผ่านสูงสุดถึง 4,686 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2554 และมีปริมาณน้ำรวมทั้งปีสูงถึง 48,615 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งมากกว่าปีที่เกิดอุทกภัยรุนแรงในอดีตอย่างปี 2538, 2545 และ 2549


สำหรับปี 2567 ข้อมูล ณ วันที่ 20 สิงหาคม 2567 แสดงให้เห็นสถานการณ์น้ำในแม่น้ำสายหลักที่ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ

- แม่น้ำเจ้าพระยาที่สถานี C.2 (นครสวรรค์): ระดับน้ำอยู่ที่ 19.06 เมตร ต่ำกว่าระดับตลิ่ง 6.64 เมตร

- แม่น้ำมูลที่สถานี M.7 (อุบลราชธานี): ระดับน้ำอยู่ที่ 3.48 เมตร ต่ำกว่าระดับตลิ่ง 3.52 เมตร

- แม่น้ำน่านที่สถานี N.7A (พิจิตร): ระดับน้ำอยู่ที่ 4.68 เมตร ต่ำกว่าระดับตลิ่ง 5.19 เมตร


อย่างไรก็ตาม มีการเตือนภัยเฉพาะพื้นที่ เช่น จังหวัดแพร่ ซึ่งศูนย์บริหารจัดการน้ำจังหวัดแพร่ได้ประกาศแจ้งเตือนว่าสถานการณ์น้ำอาจจะรุนแรงเทียบเท่าปี 2554 เนื่องจากปริมาณน้ำจากอำเภอปงและเชียงม่วน จังหวัดพะเยา ไหลผ่านสถานีห้วยสัก ตำบลสะเอียบ ด้วยอัตรา 1,390 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที


สรุปสถานการณ์พายุที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในปี 2554 เปรียบเทียบกับปี 2567


ในปี 2554 ประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากพายุถึง 5 ลูก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ ประกอบด้วยพายุโซนร้อน "ไหหม่า" "นกเต็น" "ไห่ถาง" และพายุไต้ฝุ่น "เนสาด" และ "นาลแก" พายุเหล่านี้ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงตุลาคม โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำและเขื่อนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกินขีดความสามารถในการรับน้ำ


ในทางตรงกันข้าม ข้อมูลสำหรับปี 2567 (ณ เดือนสิงหาคม) ยังไม่มีรายงานถึงพายุที่ส่งผลกระทบรุนแรงเทียบเท่ากับปี 2554 แม้ว่าจะมีรายงานฝนตกหนักในบางพื้นที่ โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่สถานการณ์โดยรวมยังอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากฤดูมรสุมยังไม่สิ้นสุด และสภาพอากาศที่แปรปรวนอาจทำให้เกิดพายุฝนรุนแรงได้ในอนาคต



ปริมาณน้ำในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำ - ตัวชี้วัดสำคัญของสถานการณ์น้ำ


ในปี 2554 เขื่อนขนาดใหญ่ทั้ง 33 แห่งรับน้ำในปริมาณมหาศาล โดยตลอดทั้งปีมีปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนสะสมรวมกันมากถึง 71,769 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งนับเป็นสถิติสูงสุดเท่าที่เคยมีมา โดยเฉพาะเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ที่มีปริมาณน้ำเกินระดับกักเก็บปกติ


ปัจจุบันในปี 2567 ณ วันที่ 16 สิงหาคม 2567 สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั่วประเทศอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง

- ปริมาณน้ำรวม: 41,812 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 59% ของความจุอ่าง

- ปริมาณน้ำใช้การได้: 18,227 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 38% ของความจุอ่าง

- เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน: 457.26 ล้านลูกบาศก์เมตร


สถานการณ์น้ำในเขื่อนสำคัญ

- เขื่อนภูมิพล: 42% ของความจุอ่าง (เพิ่มขึ้น 101.22 ล้าน ลบ.ม.)

- เขื่อนสิริกิติ์: 59% ของความจุอ่าง (เพิ่มขึ้น 299.18 ล้าน ลบ.ม.)

- เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์: 30% ของความจุอ่าง (เพิ่มขึ้น 23.10 ล้าน ลบ.ม.)


แม้ว่าปริมาณน้ำในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำส่วนใหญ่ยังอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง แต่การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่ต้องเฝ้าระวัง โดยเฉพาะอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและเล็กที่มีปริมาณน้ำมากกว่าร้อยละ 80 ของความจุ


พื้นที่ประสบอุทกภัยและผลกระทบ - ความรุนแรงที่แตกต่าง


มหาอุทกภัยปี 2554 ส่งผลกระทบรุนแรงและกว้างขวาง

- พื้นที่ประสบภัย: 65 จังหวัด 684 อำเภอ 4,920 ตำบล 43,636 หมู่บ้าน

- ประชาชนได้รับผลกระทบ: กว่า 13 ล้านคน

- ผู้เสียชีวิต: 815 ราย สูญหาย 3 ราย

- พื้นที่การเกษตรเสียหาย: 11.20 ล้านไร่

- มูลค่าความเสียหายรวม: 1.44 ล้านล้านบาท


ในปี 2567 จากรายงานล่าสุด ณ วันที่ 20 สิงหาคม 2567 สถานการณ์อุทกภัยมีขอบเขตจำกัดกว่ามาก

- พื้นที่ประสบภัย: 3 จังหวัด (เพชรบูรณ์ พะเยา เชียงราย) 12 อำเภอ 27 ตำบล 74 หมู่บ้าน

- ครัวเรือนได้รับผลกระทบ: 1,724 ครัวเรือน


ความแตกต่างอย่างชัดเจนนี้สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการน้ำและการเตรียมพร้อมรับมือที่ดีขึ้นในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ยังคงต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยง


การบริหารจัดการน้ำและมาตรการป้องกัน - บทเรียนสู่การพัฒนาและความท้าทายปัจจุบัน


บทเรียนจากมหาอุทกภัยปี 2554 นำไปสู่การปรับปรุงระบบบริหารจัดการน้ำของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม

- จัดตั้งสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นหน่วยงานกลางบูรณาการการทำงานด้านน้ำ

- พัฒนาระบบพยากรณ์และเตือนภัยให้แม่นยำขึ้น

- ก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ


ในปี 2567 เห็นการทำงานเชิงรุกของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะการเฝ้าระวังและแจ้งเตือนล่วงหน้า


1. สทนช. ประกาศเตือนเฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ในช่วงวันที่ 24 – 30 ส.ค. 67 ครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงใน 28 จังหวัดทั่วประเทศ

2. เฝ้าระวังอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและเล็กที่มีปริมาณน้ำมากกว่าร้อยละ 80 ของความจุ

3. เฝ้าระวังระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันและระดับน้ำล้นตลิ่งในพื้นที่ลุ่มต่ำ บริเวณแม่น้ำสายหลักและลำน้ำสาขาต่างๆ


นอกจากนี้ ยังมีการใช้มาตรการเชิงรุกในการบริหารจัดการน้ำ เช่น การใช้ฝายแม่ยมในจังหวัดแพร่เพื่อหน่วงน้ำให้อยู่ในระดับ 850 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อลดผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำ


มาตรการรับมือและคำแนะนำสำหรับประชาชนก็มีความชัดเจนมากขึ้น

1. ใช้ขอบเขตน้ำท่วมปี 2554 เป็นพื้นที่เฝ้าระวัง

2. ยกของมีค่าขึ้นที่สูงให้พ้นระดับน้ำ

3. ดูแลผู้สูงอายุ ผู้ป่วย และเด็กให้อยู่ในที่ปลอดภัย

4. ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด


---------------


การเปรียบเทียบสถานการณ์น้ำท่วมระหว่างปี 2554 และ 2567 แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการที่สำคัญในด้านการบริหารจัดการน้ำและการเตือนภัยของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ปัจจุบันในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะภาคเหนือ ยังคงมีความเสี่ยงสูงและต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด 


ความท้าทายสำคัญในปัจจุบันคือ

1. การบูรณาการข้อมูลและการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำมีประสิทธิภาพสูงสุด

2. การพัฒนาระบบพยากรณ์และเตือนภัยให้แม่นยำยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในระดับพื้นที่ย่อย

3. การสร้างความตระหนักและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการเฝ้าระวังและป้องกันภัยพิบัติทางน้ำ

4. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการบริหารจัดการน้ำให้สามารถรองรับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงและมีความรุนแรงมากขึ้น


แม้ว่าประเทศไทยจะมีความพร้อมในการรับมือกับอุทกภัยมากขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2554 แต่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้รูปแบบฝนมีความแปรปรวนและรุนแรงมากขึ้น จึงยังคงเป็นความท้าทายสำคัญในการบริหารจัดการน้ำของประเทศ การเรียนรู้จากบทเรียนในอดีตและการปรับตัวอย่างต่อเนื่องจะเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงและผลกระทบจากอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต


ท้ายที่สุด การบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์อุทกภัยที่อาจเกิดขึ้น เพื่อลดความสูญเสียและสร้างความยืดหยุ่นในการรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติในอนาคต



---------------------------------------


สรุปเปรียบเทียบสถานการณ์อุทกภัยปี 2554 กับ 2567 ฉบับเข้าใจง่าย 


1. ปริมาณน้ำฝน

   - 2554: ปริมาณฝนสูงผิดปกติ 1,826 มม. (มากกว่าค่าเฉลี่ย 25%)

   - 2567: ฝนตกหนักเฉพาะบางพื้นที่ โดยเฉพาะภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ (90-120 มม./24 ชม.)


2. ระดับน้ำในแม่น้ำสายหลัก

   - 2554: แม่น้ำเจ้าพระยาที่นครสวรรค์มีน้ำไหลผ่านสูงสุด 4,686 ลบ.ม./วินาที

   - 2567: ระดับน้ำยังต่ำกว่าตลิ่ง แต่มีการเตือนภัยในบางพื้นที่ เช่น จังหวัดแพร่


3. ปริมาณน้ำในเขื่อน

   - 2554: น้ำไหลลงเขื่อนรวม 71,769 ล้าน ลบ.ม. (สูงสุดเป็นประวัติการณ์)

   - 2567: ปริมาณน้ำรวม 41,812 ล้าน ลบ.ม. (59% ของความจุ)


4. พื้นที่ประสบภัย

   - 2554: 65 จังหวัด ประชาชนได้รับผลกระทบ 13 ล้านคน

   - 2567: 3 จังหวัด ครัวเรือนได้รับผลกระทบ 1,724 ครัวเรือน


5. การบริหารจัดการ

   - 2554: ขาดการบูรณาการและระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ

   - 2567: มีการจัดตั้ง สทนช. พัฒนาระบบเตือนภัย และมีมาตรการป้องกันที่ดีขึ้น


สถานการณ์ในปี 2567 ยังไม่รุนแรงเท่าปี 2554 แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยง การบริหารจัดการน้ำและระบบเตือนภัยมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังคงเป็นความท้าทายสำคัญที่ต้องเตรียมพร้อมรับมือ



---------------------------------------

ภาพ TNN 

เรียบเรียงโดย : ยศไกร รัตนบรรเทิง บรรณาธิการ TNN 

อ้างอิง 

สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA)/สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน)

กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

National Oceanic and Atmospheric Administration 

กรมชลประทาน / คลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ

รายงานสถานการณ์ปริมาณน้ำเก็บกัก ปริมาณน้ำไหลเข้าและปริมาณน้ำระบายของแต่ละเขื่อนจากกรมชลประทานและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย


ข่าวแนะนำ