TNN หมดยุค Work-Life Balance? แต่ Work Hard เกินไปก็เสี่ยง “ทำงานหนักจนตาย”

TNN

TNN Exclusive

หมดยุค Work-Life Balance? แต่ Work Hard เกินไปก็เสี่ยง “ทำงานหนักจนตาย”

หมดยุค Work-Life Balance? แต่ Work Hard เกินไปก็เสี่ยง “ทำงานหนักจนตาย”

สังคมออนไลน์กำลังถกเถียงเรื่อง การทำงานในภาวะเศรษฐกิจยุคปัจจุบัน และทิศทางเศรษฐกิจไทยในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าว่า มันถึงเวลาที่จะเลิกโลกสวยถึง การทำงานแบบมีสมดุลการทำงานและชีวิต หรือ Work-Life Balance และต้องหันมาทำงานหนักเพื่อเอาตัวรอดหรือไม่ (Work Hard to Survive)

ถ้าพูดถึงการทำงานอย่างหนักเพื่อเอาตัวรอดในสังคมการทำงานที่แข่งขันสูง คงต้องพูดถึงญี่ปุ่น ซึ่งมีคำที่ใช้กันแพร่หลายว่า “คาโรชิ” หรือ ทำงานหนักจนตาย เพราะทุกปีจะมีรายงานผู้เสียชีวิตจากการทำงานหนักหลายร้อยคนในญี่ปุ่น


ที่สำคัญ องค์การอนามัยโลกได้ใช้คำว่า “Karoshi Syndrome” เพื่อเก็บสถิติว่า แต่ละปีมีคนตายจากการทำงานหนักทั่วโลกเท่าไหร่ 


การศึกษาของ WHO ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ชี้ว่า การทำงานหนักเกินไป อยู่เบื้องหลังการเสียชีวิตของผู้คนทั่วโลกมากถึง 745,000 คน 


“ไม่มีงานใดคุ้มค่ากับความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองหรือโรคหัวใจ” ดร. ทีโดรส อัดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่ WHO กล่าว


📌 ทำงานหนักไม่ได้สำเร็จเสมอไป


ค่านิยมการทำงานหนักเพื่อความสำเร็จ ถูก “Romanticized” หรือทำให้เป็นเรื่องสวยหรู มายาวนานแล้ว นับแต่เกิดโลกธุรกิจ 


ผู้บริหารหัวเก่าก็ชอบพร่ำบอกพนักงานให้ทำงานหนัก เพราะการเอาแต่นอน ขี้เกียจ สะท้อนว่าคุณเป็นพนักงานที่อ่อนแอ และถูกแทนที่ได้เสมอ ไม่เพียงเท่านั้น ยังพร่ำสอนว่า ถ้าทำงานหนักนานพอ หนักพอ สักวันคุณก็จะประสบความสำเร็จ 


แต่บทความโดยของ Harvard Business Review คัดค้านวัฒนธรรมการทำงานเช่นนี้ โดยชี้ว่า มนุษย์เราจะประสบความสำเร็จ ไม่ใช่แค่ทำงานหนักแค่ไหน แต่ทำงานผิดที่ และทำงานที่ไม่มีใจ ความสำเร็จก็จะยิ่งห่างไกลออกไปอีก 


ทำงานหนักแล้วประสบความสำเร็จ จะต้องเป็นการเอาแรงและเวลาไปทุ่มให้กับโครงการหรือเนื้องานที่สอดรับกับเป้าหมายการเติบโตทางอาชีพ ไม่ใช่ทำงานหนัก แต่ทำทุกอย่างจิปาถะ 


📌 ทำงานมากไป ตายจริง


งานวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ ชี้ว่า คนที่ทำงานหนักเกิน 54 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ มีความเสี่ยงที่จะตายจากการทำงานมากเกินไป 


ผลศึกษานี้ ซึ่ง WHO ทำร่วมกับ องค์การแรงงานระหว่างประเทศ ชี้ว่า ประชากรโลกเสียชีวิตจากการทำงานหนัก มากกว่ามาลาเรียระบาดเสียอีกในแต่ละปี และการทำงานหนักจนตาย เป็นวิกฤตสาธารณสุขโลกไปแล้ว 


เมื่อชำแหละผลวิจัยไป ปัจจัยสำคัญที่นำมาสู่การเสียชีวิตจากการทำงาน คือ การทำงานยาวนานเกินไปในแต่ละสัปดาห์ เพราะความเครียดมันจะสะสมจนเรื้อรัง นำมาสู่ฮอร์โมนความเครียดในร่างกายที่เพิ่มสูง ซึ่งยิ่งฮอร์โมนนี้เพิ่มสูง ก็จะทำให้ความดันเลือดและคอร์เรสเตอรอลพุ่งขึ้นด้วย 


อีกประการสำคัญ ทำงานนาน  ก็มีเวลานอนน้อยลง ไม่ได้ออกกำลังกาย หันไปทานอาหารไม่มีโภชนาการที่ดี รวมถึงแก้เครียดด้วยการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งล้วนแล้วแต่ไม่ดีต่อสุขภาพ


ข้อมูลยังชี้ว่า แรงงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงไทย ทำงานยาวนานมากที่สุดในโลก โดยประเทศไทย ติดอันดับ 5 ของโลก ที่พนักงานประจำทำงานหนักเกิน 48% ต่อสัปดาห์


แต่จากบรรยากาศทางเศรษฐกิจ และเสียงผู้คนในสังคมออนไลน์ กลับชี้ไปว่า ทำงานหนักแค่ไหนก็ไม่ประสบความสำเร็จ และไม่มีความสุข ซึ่งเรื่องนี้ อาจเป็นเรื่องของ “ระบบ” มากกว่า “วัฒนธรรมการทำงาน” ก็เป็นได้


อภินันท์ ธรรมเสนาผู้จัดการฝ่ายสื่อสารสังคมและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เคยให้สัมภาษณ์ผู้จัดการว่า 


คนไทยให้ความสำคัญกับคนมากกว่าระบบ หากพึ่งพาระบบมากกว่าคน จะหมายความว่า ถ้าหากพนักงานคนไหนไม่อยู่ คนอื่นสามารถมารับผิดงานต่อได้ แต่ประเทศไทยไม่เป็นเช่นนั้น 


ยังไม่นับเรื่องค่าแรงที่ค่อนข้างต่ำสำหรับมนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่ ระบบขนส่งสาธารณะที่ทำให้ชีวิต 1 ใน 3 ของวันอยู่กับการเดินทางไป-กลับ ที่ทำงาน ยิ่งทำให้ชีวิตการทำงานของคนไทยที่ถูกกดดันให้ต้องทำงานหนักอยู่แล้ว ต้องมาเจอความเครียดจากปัจจัยนอกออฟฟิศอีก


อ้างอิง:

https://hbr.org/2023/09/hard-work-doesnt-always-lead-to-success

https://www.thelancet.com/journals/lancet/article/PIIS0140-6736(23)02694-6/abstract

https://www.bbc.com/worklife/article/20210518-how-overwork-is-literally-killing-us

https://www.bbc.com/worklife/article/20160912-is-there-such-thing-as-death-from-overwork

ข่าวแนะนำ