เปิดงบใช้จ่าย "กระทรวงศึกษาธิการ" อเมริกา VS ไทย ใช้งบแค่ไหน ใช้จ่ายอย่างไรบ้าง

จากข่าวโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ พยายามปิดกระทรวงศึกษาธิการ เพราะอ้างว่าผลาญเงินเยอะ แต่เด็กอเมริกันไม่ได้เก่งขึ้น แล้วเมื่อเทียบกับไทยแล้ว อเมริกาจัดสรรงบประมาณด้านการศึกษาเท่าไหร่ และใช้จ่ายเท่าไหร่ ในปี 2024 

เปิดงบใช้จ่าย "กระทรวงศึกษาธิการ" อเมริกา VS ไทย ใช้งบแค่ไหน ใช้จ่ายอย่างไรบ้าง

สรุปข่าว

สหรัฐอเมริกาจัดสรรงบประมาณให้กระทรวงศึกษาธิการในปี 2024 จำนวน 268,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 9 ล้านล้านบาท) คิดเป็น 4% ของ GDP ในขณะที่ประเทศไทยจัดสรรงบประมาณการศึกษาในปีเดียวกันเพียง 328,384 ล้านบาท คิดเป็น 1.77% ของ GDP ประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการปิดกระทรวงศึกษาธิการสหรัฐฯ โดยอ้างว่าใช้งบประมาณมากเกินไปโดยไม่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนในการพัฒนาการศึกษาของเด็กอเมริกัน

สหรัฐฯ จัดสรรงบประมาณให้กระทรวงศึกษาธิการในปี 2024 จำนวน 268,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 9 ล้านล้านบาท คิดเป็น 4% ของ GDP ส่วนไทยนั้น ในปี 2024 จัดสรรงบประมาณ 328,384 ล้านบาทให้กระทรวงศึกษาฯ คิดเป็น 1.77% ของ GDP ของประเทศ

สิ่งที่ต่างกันชัดเจน คือ งบส่วนใหญ่ของกระทรวงศึกษาธิการไทย จะใช้ไปกับบุคลากรที่มีมากกว่า 5 แสนคน โดยเฉพาะบุคลากรสถานศึกษา และ คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)

สพฐ. นั้น ได้งบประมาณมากที่สุด 252,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 77% ของงบประมาณกระทรวงศึกษาฯ ที่ได้รับการจัดสรร 

รองลงมาคือ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานอาชีวศึกษา และกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ส่วนสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์ ได้ค่อนข้างน้อยอยู่ที่ 1,600 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.49% ของงบประมาณกระทรวงศึกษาฯ

ในส่วนของสหรัฐฯ นั้น กระทรวงศึกษาธิการของรัฐบาลกลาง มีบุคลากรส่วนกลางราว 4,400 คน แล้วแบ่งสรรงบประมาณให้รัฐบาลท้องถิ่นไปบริหารจัดการอีกที

โดยงบประมาณส่วนใหญ่ จะเป็นโครงการช่วยเหลือด้านการศึกษาของรัฐบาลกลาง ใช้ไป 5.437 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 60% ของงบประมาณ

รองลงมาคือการจัดสรรเงินให้กับรัฐต่าง ๆ 2.3 ล้านล้านบาท ตามด้วยทุนการศึกษา 1.35 ล้านล้านบาท งบสนับสนุนโรงเรียนเด็กยากไร้-เด็กพิเศษ 636,000 ล้านบาท และโครงการการศึกษาพิเศษ 524,000 ล้านบาท

ผลคะแนน PISA ครั้งล่าสุดคือปี 2022 นั้น ไทยมีคะแนนภาพรวม 1,182 คะแนน ส่วนสหรัฐฯ อยู่ที่ 1,468 คะแนน

ที่มาข้อมูล : พรบ.งบประมาณ 2567 และ TNN Online รวบรวมข้อมูล

ที่มารูปภาพ : Reuters