TNN “ระบอบสังคมนิยม” ทำให้ชีวิตรักดีขึ้นจริงหรือไม่?

TNN

TNN Exclusive

“ระบอบสังคมนิยม” ทำให้ชีวิตรักดีขึ้นจริงหรือไม่?

“ระบอบสังคมนิยม” ทำให้ชีวิตรักดีขึ้นจริงหรือไม่?

จริงหรือไม่? ระบอบการปกครองที่เอื้อให้เกิด “ชีวิตรัก" ดีที่สุด คือ สังคมนิยม ?

ความรักเป็นสิ่งที่สวยงาม แต่ความรักไม่ได้มีเพียงความรู้สึกอย่างเดียว  การมีปฏิสัมพันธ์กันทางความรัก ก็เป็นหนึ่งในเงื่อนไขสำคัญ 


จริง ๆ แล้ว การร่วมรักกันอาจจะไม่ได้มีเงื่อนไขมาจาก การเข้ากันได้ดีของทั้งสองเพียงอย่างเดียว แต่มีเงื่อนไข “ภายนอก” ที่สำคัญไม่แพ้กัน และเงื่อนไขที่สำคัญที่สุด นั่นคือสภาพแวดล้อม รวมไปถึง “ระบอบการปกครอง (Regime)” ของประเทศนั้น ๆ ด้วย


มีงานศึกษาที่หาญกล้าเสนอว่า ระบอบการปกครองที่เอื้อให้เกิด “ชีวิตรัก" ที่น่าตื่นเต้น มากที่สุด นั่นคือ “สังคมนิยม” หรือก็คือ คอมมิวนิสต์ นั่นเอง


ค้อนเคียว


งานศึกษา Why Women Have Better Sex Under Socialism ตีพิมพ์ในสำนักพิมพ์วินเทจ เขียนโดย คริสเทน โกด์เซ (Kristen Rogheh Ghodsee) ปี 2018 ได้ศึกษามานุษยวิทยาเรื่องการร่วมรักในประเทศแถบยุโรปตะวันออกซึ่งเป็น คอมมิวนิสต์ (Communism)” แต่งานศึกษานี้เลือกใช้ศัพท์ว่า “สังคมนิยม (Socialism)” อาจเป็นการเลี่ยงบาลีของผู้เขียนเพื่อไม่ให้ Sense ของศัพท์รุนแรงเกินไป 


โดยมีข้อเสนอที่น่าสนใจว่า “โลกทุนนิยม (Capitalism)” นั้น ทำให้การร่วมรักกันมีปัญหามากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะ “ผู้หญิง” ที่มักถูกเลือกปฏิบัติในโลกทุนนิยมมากกว่าผู้ชาย ทั้งในด้านการจ่ายเงินเดือน การเลื่อนตำแหน่ง หรือแม้แต่อาชีพที่เปิดให้ทำ


ผู้หญิงจึงต้อง “พึ่งพิงทางการเงิน” ต่อผู้ชายอย่างมาก หรือก็คือ ในโลกทุนนิยมนั้น ผู้ชายสามารถควบคุมผู้หญิงได้อย่างเบ็ดเสร็จ ผู้หญิงไม่มีที่ทางในการแสดงออกได้ว่าพึงประสงค์การร่วมรักแบบใด 


มันจึงเป็นแบบ “ฝ่ายชายได้ประโยชน์ฝ่ายเดียว” แตกต่างจากในประเทศแถบยุโรปตะวันออก ที่ผู้หญิงไม่มีปัญหาด้านการเงิน เพราะรัฐบาลได้จัดหาและแบ่งทรัพยากรให้ “เท่าเทียมตามหลักการ” ผู้หญิงจึงสามารถเรียกร้องความประสงค์ที่ตนนั้นรู้สึกชอบจากผู้ชายได้มากที่สุด 


ในข้างต้น งานศึกษานี้วาง “หลักการอย่างกว้าง” เพื่อชี้ให้เห็นว่าต้องการวิพากษ์ “ทุนนิยม” ซึ่งจริง ๆ แล้ว มีปัญหาอย่างมากในการที่จะพิสูจน์ “ความสอดคล้อง (Casual Relation)” ว่าคอมมิวนิสต์ส่งผลอย่างมีนัยยะสำคัญต่อชีวิตรักจริงหรือไม่?


ประการแรก งานศึกษานี้ ไม่เน้นถึง “ความแตกต่างทางชนชั้น” ทั้งที่เป็นแก่นแกนหลักของสังคมนิยมที่พยายามจะทำลายลง ขณะที่ทุนนิยมเปิดโอกาสให้มีการสะสมทุน ใครดีใครได้ อ่อนแอก็แพ้ไป แต่สังคมนิยมในเชิงปฏิบัติเอง ไม่ได้สร้าง “ความเท่าเทียม” อย่างแท้จริง บรรดาผู้นำและผู้มีอำนาจกุมการกระจายทรัพยากรแบบเบ็ดเสร็จ 


ประการต่อมา สืบเนื่องจากประการแรก หากว่าความเท่าเทียมในเชิงปฏิบัติของสังคมนิยม ไม่ได้เป็นไปตามหลักการ นั่นหมายความว่า คอมมิวนิสต์แทบจะไม่แตกต่างจากทุนนิยมที่งานศึกษานี้วิพากษ์มาตั้งแต่ต้น 


ผนวกกับการที่งานศึกษานี้ “หลักฐานอ่อน” อย่างมาก เพราะไม่ชี้ให้เห็นในเชิงประจักษ์ว่า ชีวิตรักที่ดีกว่าในสังคมนิยมนั้น “วัดจากอะไร” 


แตกต่างจากอีกงานศึกษาหนึ่ง ที่ชื่อว่า Love in the Time of Communism ตีพิมพ์ในสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เขียนโดย โยซี แม็คเรญาน ในปี 2011 ได้ชี้ให้เห็นว่า ประเทศสังคมนิยมนั้น รัฐบาลรู้ทุกซอกทุกมุมของประชาชน ทั้งยังบังคับประชาชนได้แบบง่าย ๆ โดยที่ประชาชนไม่อาจขัดขืน อีกอย่าง เรื่องที่ส่งเสริมให้เกิดอารมณ์ตื่นเต้นในความรัก อาทิ สื่อลามก เป็นเรื่องที่ไม่สมควร โดนแบนทั้งสิ้น 


อีกทั้ง สถิติยังบ่งบอกว่า การทำงานของแรงงานในประเทศที่จะได้รับค่าตอบแทนเท่าเดิมตลอด ด้วยเชื่อเรื่องความเท่ากันถ้วนหน้า ยังส่งผลให้ผู้ชายนั้นขาดแรงจูงใจทางเพศ เพราะไม่เกิดแรงจูงใจที่จะพัฒนาตนเองเพื่อคนที่รัก และรัฐบาลสั่งให้เพิ่มจำนวนประชากรก็จำต้องทำ 


และประการสุดท้าย “ความเท่าเทียมในความสัมพันธ์” เป็นคนละเรื่องกับ “ความเท่าเทียมทางการเมืองและเศรษฐกิจ” ในงานศึกษา Is Equality the Answer to Better Sex? ตีพิมพ์ใน Family Perspectives เขียนโดย เดรสเดน กราฟ ในปี 2020 ได้เสนอว่า ความเท่าเทียมในความสัมพันธ์คือการที่ทั้งสองฝ่ายรู้สึกว่า “เติมเต็ม” ให้กันและกันได้อย่างลงตัว ซึ่งเป็นเรื่องของความรู้สึกมากกว่าเรื่องทางการเงิน ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะจนกว่าหรือรวยกว่า ย่อมไม่เป็นปัญหา และเมื่อเท่าเทียมในความสัมพันธ์ ความรักก็จะเร่าร้อนขึ้นไปโดยธรรมชาติ


แหล่งอ้างอิง




ข่าวแนะนำ