กางงบ 3.75 ล้านล้านบาท เน้นพัฒนาทักษะคนไทยทุกวัย สู่ศูนย์กลาง 8 อุตสาหกรรม
งบประมาณปี 2568 กว่า 3.75 ล้านล้านบาท มุ่งเน้นพัฒนาทักษะคนไทยทุกช่วงวัย พร้อมขับเคลื่อนประเทศสู่ศูนย์กลาง 8 อุตสาหกรรมหลัก สร้างอนาคตที่ยั่งยืนและลดความเหลื่อมล้ำ
สภาผู้แทนราษฎรรับหลักการร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 วงเงิน 3.75 ล้านล้านบาท
ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2567 ภายใต้การนำของนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ที่ประชุมได้มีมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ในวาระแรก ด้วยคะแนนเสียง 311 ต่อ 175 งดออกเสียง 2 และไม่ลงคะแนนเสียง 0 หลังจากการพิจารณาอย่างละเอียดเป็นเวลา 3 วัน 3 คืน รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 41 ชั่วโมง 30 นาที
สาระสำคัญของงบประมาณปี 2568
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้แถลงถึงสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2568 ซึ่งมีวงเงินรวม 3,752,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 3.8 โดยมีจุดมุ่งหมายหลักในการสร้างสมดุลระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นและการพัฒนาโครงสร้างประเทศในระยะยาว
1. งบลงทุนสูงสุดในรอบ 17 ปี: รัฐบาลตั้งงบลงทุนสูงถึง 908,224 ล้านบาท คิดเป็น 24.2% ของงบประมาณทั้งหมด เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการสร้างงาน การลงทุน และการหมุนเวียนเงินในระบบ
2. การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน: มุ่งรองรับวิสัยทัศน์ "Ignite Thailand" เพื่อยกระดับประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางใน 8 อุตสาหกรรมสำคัญ เช่น การท่องเที่ยว การแพทย์และสุขภาพ เกษตรและอาหาร โดยเน้นการลงทุนใน 6 พื้นฐานสำคัญ เช่น รัฐบาลดิจิทัล ระบบขนส่งที่ทันสมัย การพัฒนาการศึกษา และพลังงานสะอาด
3. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์: จัดสรรงบประมาณ 583,023 ล้านบาท (15.5%) เพื่อพัฒนาคนไทยตลอดทุกช่วงวัย ครอบคลุมตั้งแต่การดูแลเด็กปฐมวัย การปฏิรูประบบการศึกษา การพัฒนาทักษะแรงงาน ไปจนถึงการดูแลผู้สูงอายุ
4. การส่งเสริมโอกาสและความเสมอภาค: จัดสรรงบประมาณ 923,851 ล้านบาท (24.6%) เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างโอกาสความเสมอภาค ครอบคลุมโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน การเข้าถึงสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน และการกระจายงบประมาณสู่ท้องถิ่น
5. การเตรียมรับมือภัยพิบัติ: ลงทุน 99,132.7 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำ ทั้งระบบชลประทาน การจัดการน้ำแบบองค์รวม การแก้ปัญหาน้ำท่วม และการฟื้นฟูอนุรักษ์ป่าต้นน้ำ
การอภิปรายและข้อสังเกตจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ในระหว่างการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ มีการอภิปรายจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายท่าน โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้:
- น.ส.ภคมน หนุนอนันต์ (พรรคก้าวไกล) ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับงบประมาณประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลที่ซ้ำซ้อน และการทำหน้าที่ของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมที่ไม่เป็นกลาง
- นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล วิจารณ์การจัดสรรงบประมาณด้านดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นกว่า 5,000 ล้านบาท แต่ยังขาดการวางแผนและยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน
- น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล (พรรคเพื่อไทย) ยืนยันการจัดสรรงบประมาณด้วยความรอบคอบ โปร่งใส และตรวจสอบได้
- นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เสนอ 5 ประเด็นเร่งด่วนที่รัฐบาลควรพิจารณา รวมถึงความชัดเจนของแผนรายได้และแผนหนี้ และการปรับกระบวนการงบตามมาตรฐาน OECD
การแต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ
หลังจากที่สภาผู้แทนราษฎรมีมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ในวาระแรก ที่ประชุมได้ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 72 คน แบ่งเป็นสัดส่วนคณะรัฐมนตรี 18 คน และพรรคการเมือง 54 คน การจัดสรรตัวแทนจากพรรคการเมืองประกอบด้วย พรรคก้าวไกล 16 คน พรรคเพื่อไทย 15 คน พรรคภูมิใจไทย 8 คน พรรคพลังประชารัฐ 5 คน พรรครวมไทยสร้างชาติ 4 คน พรรคประชาธิปัตย์ 3 คน พรรคชาติไทยพัฒนา 1 คน พรรคประชาชาติ 1 คน และพรรคไทยสร้างไทย 1 คน สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการสร้างการมีส่วนร่วมและความสมดุลในการพิจารณางบประมาณจากทุกฝ่าย
คณะกรรมาธิการวิสามัญชุดนี้มีหน้าที่สำคัญในการพิจารณารายละเอียดของร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ อย่างละเอียด โดยกำหนดให้มีการแปรญัตติภายใน 30 วัน และนัดประชุมครั้งแรกในวันที่ 24 มิถุนายน 2567 เวลา 10.00 น. ในการประชุม คณะกรรมาธิการฯ จะทำหน้าที่พิจารณาคำขอแปรญัตติ รับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และปรับปรุงแก้ไขร่าง พ.ร.บ. ตามความเหมาะสม ก่อนจัดทำรายงานเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาในวาระที่ 2 และ 3 ต่อไป กระบวนการนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการตรวจสอบและกลั่นกรองงบประมาณ เพื่อให้การจัดสรรงบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง
ความท้าทายด้านการเงินการคลังในงบประมาณปี 2568
การจัดทำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2568 เผชิญกับความท้าทายด้านการเงินการคลังที่สำคัญ โดยงบประมาณมีการขาดดุลเพิ่มขึ้นเป็น 865,700 ล้านบาท อันเป็นผลมาจากการเพิ่มงบลงทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 908,224 ล้านบาท คิดเป็น 24.2% ของงบประมาณทั้งหมด และเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดในรอบ 17 ปี แม้จะมีการขาดดุลเพิ่มขึ้น แต่รัฐบาลยืนยันว่าจะดำเนินนโยบายการคลังด้วยความระมัดระวัง โดยจะควบคุมสัดส่วนหนี้สาธารณะไม่ให้เกินร้อยละ 70 ของ GDP ตามกรอบวินัยการเงินการคลัง และมุ่งเน้นการใช้จ่ายงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
การตัดสินใจจัดทำงบประมาณแบบขาดดุลนี้ อยู่บนพื้นฐานของการประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2568 โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่คาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) จะอยู่ที่ 2.5 – 3.5% อัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ 0.7 – 1.7% และเกินดุลบัญชีเดินสะพัด 1.5% ของ GDP
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลตระหนักดีว่ายังมีปัจจัยเสี่ยงสำคัญจากความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์และมาตรการกีดกันทางการค้าที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและสร้างความผันผวนในตลาดการเงิน ดังนั้น การบริหารงบประมาณจึงต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวังและยืดหยุ่น พร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายในการกระตุ้นเศรษฐกิจและพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนตามวิสัยทัศน์ Ignite Thailand ที่วางไว้
บทสรุปส่งท้าย
งบประมาณปี 2568 สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของรัฐบาลในการสร้างสมดุลระหว่างการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเร่งด่วนและการวางรากฐานการพัฒนาประเทศในระยะยาว ผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการสร้างความเท่าเทียมในสังคม อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญอยู่ที่การบริหารจัดการงบประมาณให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด มีความโปร่งใส และตรวจสอบได้ ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่เข้มงวด เพื่อให้ประเทศไทยสามารถก้าวผ่านวิกฤตเศรษฐกิจปัจจุบันและมุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคต
ภาพ รัฐบาลไทย
เรียบเรียง : ยศไกร รัตนบรรเทิง บรรณาธฺการ TNN Online
ข่าวแนะนำ